เมื่อเราเชื่อว่าจิตของเราเป็นธรรมชาติที่ไม่ตาย รูปร่างกายเราต่างหากที่แตกดับ เมื่อเราเชื่อว่าโอวาทคำสอนของครูบาอาจารย์ เราก็ขวนขวายสร้างคุณงามความดี สร้างบุญกุศล เป็นอริยทรัพย์อริยบารมีฝังไว้สำหรับติดตัวเราไปทุกชาติทุกภพ จนกว่าจะถึงพระนิพพาน ถ้าเราไม่เชื่อโอวาท ไม่เชื่อกรรมดีกรรมชั่ว จิตใจก็หวั่นไหวเป็นลูกคลื่นมากระทบจิตใจ สู้คลื่นแรง ที่ซัดโถมมาไม่ไหวก็อาจจะจมน้ำตาย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
# โอวาทธรรม องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร #
" ถ้าองค์ใดดำเนินตามรอยของผมจนชำนิชำนาญมั่นคง องค์นั้นย่อมเจริญก้าวหน้า อย่างน้อยก็คงตัวอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าองค์ใดไม่ดำเนินตามรอยของผม องค์นั้นย่อมอยู่ไม่ทนนาน ต้องเสื่อมหรือสึกไป ผมเองหากมีภาระมากยุ่งกับหมู่คณะ การประกอบความเพียรไม่สม่ำเสมอ เพ่งพิจารณาในกายคตาไม่ละเอียด จิตใจก็ไม่ค่อยจะปลอดโปร่ง การพิจารณาอย่าให้จิตหนีออกจากกาย อันนี้จะชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไม่ก็อย่าได้ท้อถอย เพ่งพิจารณาอยู่ ณ ที่นี่ละ จะพิจารณาให้เป็นอสุภะ หรือให้เป็นธาตุก็ได้ หรือจะพิจารณาให้เห็นเป็นขันธ์ หรือให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ได้ทั้งนั้น แต่ให้พิจารณาเพ่งลงเฉพาะในเรื่องนั้นจริงๆ ตลอดอิริยาบททั้งสี่ แล้วก็มิใช่ว่าเห็นแล้วจะหยุดเมื่อไร จะเห็นชัดหรือไม่ชัดก็พิจารณาอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อพิจารณาอันใดชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยใจตนเองแล้ว สิ่งอื่นนอกนี้จะปรากฏชัดในที่เดียวกันดอก...อย่าให้จิตมันรวมเข้าเป็นภวังค์ได้ "
หลอกเอาเงินจากผีเปรต
อีกเรือนหนึ่งที่ใส่บาตรให้ทุกวันก็เรือนของดาบพั้ว เป็นตำรวจสันติบาล มีลูกสาวกำลังสอนสาวอายุ ๑๘ ปี ใส่บาตรให้ทุกวัน สลับกันใส่ พ่อแม่ลูก พ่อใส่วันนี้ วันต่อมาแม่ใส่ ต่อมาลูกใส่ หมุนเวียนกัน ขอนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตทุกวัน
ยิ่งมารู้จักว่าเราเป็นพระธุดงค์อีกยิ่งหาข้าวของเครื่องใช้ให้ลูกสาวของเขาเอามาถวายให้ที่วัด หาผ้าห่มมาให้ เอาเครื่องอาบน้ำมาให้ สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ขันตักน้ำ ของใช้ก็เป็นแต่ของดีๆ ราคาแพงๆ ทั้งนั้น เอานาฬิกาพกมาให้
อีสาวน้อยนั้นก็ดูเต๊อะ การนุ่งการห่มพระเณรมาเห็นเข้าก็เป็นอันจังงังกับที่ให้ได้ ผู้ข้าฯไม่เป็นอะไร จิตใจอยู่ได้สบาย เวลาลูกสาวดาบพั้วมาวัดพระเณรหลบลอบมองตลอด
รูปร่างงดงาม พอดี ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ดำไม่ขาว ไม่อ้วนไม่ผอม เขาเรียกดาบพั้ว เพราะเป็นนายดาบสันติบาลย้ายมาแต่เมืองเพชรบุรี แล้วมาได้เมียคนเชียงใหม่ จนได้ลูกสาวอายุลูก ๑๘ ปีแล้ว แต่ยศของดาบพั้วนั้นร้อยเอกเป็นหัวหน้าตำรวจ ส่วนเมียของดาบพั้วนั้นทำงานกับธนาคาร ลูกสาวยังเรียนหนังสืออยู่
วันเสาร์วันอาทิตย์ก็พากันเอาปิ่นโต ข้าวน้ำคาวหวานมาส่งที่วัดให้เจ้าคุณฯ เถาหนึ่งเอามาให้ผู้ข้าฯอีกเถาหนึ่ง พวกแม่บู่ทอง (กิตติบุตร)ส่งมาให้ อีกเถาหนึ่งฉันอิ่มแล้วพวกโยมเขาก็กินกันต่อ
ต่อมาอีก ญาติโยมเขาไปแจ้งกับดาบพั้วว่ามีสมภารวัดอยู่วัดหนึ่งเป็นวัดของพวกนิกายใกล้ๆ วัดเจดีย์หลวง เป็นคนขี้เหนียว เก็บสะสมเงินวัด เงินเขามาทาน บำรุงวัด เงินนั่นนี่ภายในวัด เก็บเอาคนเดียวหมด ได้เงินอยู่หลายหมื่น
ในยุคนั้น พวกตำรวจก็เอาผิดไม่ได้ เขายังเล่าลือกันอีกว่ายังมีเมียลับๆ อยู่แต่ไม่มีใครกล้าเปิดโปง การงานวัดวาอารามก็ไม่ดูไม่แล คนศรัทธาเขาก็หมดหนทาง จึงมาขอร้องให้ดาบพั้วช่วยเหลือ ดาบพั้วก็มาถามผู้ข้าฯ ว่าจะเป็นบาปหรือไม่หากทำให้สิกขาลาเพศเสีย
ผู้ข้าฯ ก็พิจารณาตามคำเขาเล่าลือแล้วก็ว่า “หากขาดแต่ภิกขุแล้วก็ไม่เป็นบาปแต่อย่างใด หากเขายังเป็นภิกษุอยู่ก็เป็นบาป”
ดาบพั้วก็ว่า “ผมจะสืบดูให้แน่ชัด หากขาดเป็นพระแล้ว ผมมีวิธีที่จะจัดการของผม”
เมื่อดาบพั้วมั่นใจว่าตุ๊หลวงตนนั้นขาดเป็นพระแล้ว เพราะนอนกับแม่ออกค้ำอยู่ทุกวัน
วิธีการของดาบพั้วก็เอาลูกสาวเป็นนกต่อนกล่อไอ้ตุ๊หลวงต๋นนั้น ควายเฒ่าเมาหญ้าอ่อน เอาอีสาวน้อยนั้นเองเป็นหนามยอก
ให้เอาของไปให้ เอาอาหารไปส่ง นั่งคุยนั่นนี่อยู่นานๆ จนหลายวันหลายเดือนสองเดือนสามเดือนตุ๊หลวงก็เอาเงินอ้าง ตุ๊หลวงนั้นก็ว่าจะให้เงินทุกบาททุกบัญชีแต่ต้องมาหาตุ๊หลวงทุกคืน
อีน้อยนั้นก็ว่า “มาวัดทุกวัน ข้าเจ้ากลัวว่าหลายคนจะเห็น แต่ขอเงินสดให้ข้าเจ้าก่อนเต๊อะ พ่อแม่ข้าเจ้าก็บ่ว่าอะหยัง แถมยังฝากนิมนต์ตุ๊หลวงไปบ้านได้ทุกวันทุกเวลา หากตุ๊หลวงให้เงินข้าเจ้าใช้”
“เออ บ่ยาก บ่ยาก วันนี้ตุ๊หลวงไปธนาคารมาแล้วเบิกมาแล้วแปดหมื่นบาท เงินที่ไม่ได้ฝากอีก สองหมื่นบาท ยังเหลือในบัญชีก็สี่หมื่นบาทตุ๊หลวงจะเซ็นมอบฉันทะให้ ว่าแต่จะให้ตุ๊หลวงไปบ้านวันไหน”
“วันอาทิตย์นี้ก็ได้ แต่วันนี้ข้าเจ้าต้องเอาเงินไปแจ้งให้พ่อแม่ของข้าเจ้าเสียก่อน เป็นการยืนยันว่าตุ๊หลวงต้องการจะไปบ้านข้าเจ้าแต๊ๆ”
“ได้ ได้ เอาไปก่อนเลย เงินสดทั้งหมดเอาไปเต๊อะ”
“เจ้า”
อีสาวน้อยลูกสาวดาบพั้วก็หอบเอาเงินนั้นมาบ้าน ทำหลักฐานพยานไว้ให้หมู่พวกข้าราชการผู้ใหญ่ผู้หลายคนมาเป็นสักขีพยาน
วันศุกร์ วันเสาร์ พอถึงวันอาทิตย์ ตุ๊หลวงบ้ากามราคะนั้นก็ไปบ้านดาบพั้วแต่เช้า ถามหาอีน้อยว่า...“ไปไหน”
ดาบพั้วกับเมียก็ว่า... “บ่ฮู้จักเน้อว่าจะไหนแท้ ไปกับหมู่เพื่อนพวกละอ่อนแม่หญิงผู้ชายวัยวุ่นรุ่นคนหนุ่มเห็นว่าจะไปทัศนาจรเมืองกรุงเทพ เป็นหลายวันกว่าจะกลับมา ตุ๊หลวงมีธุระปะปังอันหยังถึงได้มาแต่เช้าละครับ”
“เงินของตุ๊หลวงล่ะ”
“เงิน เงินอะหยังครับ บ่ฮู้เน้อครับ” ดาบพั้วตอบ
พอตุ๊หลวงสมภารวัดรู้จักว่าตนถูกต้มแล้ว หัวใจเต้นรัว เลือดขึ้นสมองมากเกินไปเป็นลมหัวใจวาย พวกดาบพั้วเอาไปส่งโรงหมอ ไปตายอยู่โรงหมอ
พอแล้วจากศพจากคราบของตุ๊หลวงแล้วดาบพั้วจึงได้มาเล่าให้ผู้ข้าฯ ฟัง มาถามว่า “ท่านอาจารย์ครอบครัวผมจะบาปไหมครับ”
“ไม่บาปหรอก เอาเงินวัดไปคืนให้กรรมการวัดเขาเสีย หลอกเอาเงินจากผีเปรตไม่บาปหรอก มันไม่ได้เป็นตุ๊เป็นเจ้าเป็นสงฆ์อันได๋แล้ว”
“จะให้คืนอย่างได๋ครับ”
“ให้คืนโดยตรง เขาก็จะรู้จักได้ว่า เราเป็นตัวการผู้วางแผน เอาอย่างนี้เน้อ ให้ไปถามดูที่วัดว่า ทางวัดเขาต้องการจะก่อสร้างบูรณะบำรุงอันใดก็ให้ไปทำอันนั้นจนหมดทุกบาททุกสตางค์ที่อีน้อยเอาไปนั้น”
“ตอนนี้ไม่มีใครฮู้จักได้หรอกว่า ลูกสาวผมเป็นคนหลอกเอาเงินของตุ๊หลวงจะมีก็แต่ศึกษาธิการอำเภอคนเดียวเท่านั้น”
“ก็ดีแล้ว บูรณะก่อสร้างอันได๋ก็ยกให้เป็นหน้าเป็นตาของศึกษาธิการก็แล้วกัน” ผู้ข้าฯ ให้อุบาย
จนงานบูรณะซ่อมแซมต่างๆ ภายในวัดแล้วเสร็จ ครอบครัวของดาบพั้วก็มาทำบุญอุทิศขออโหสิกรรมไปให้แด่ตุ๊หลวงต๋นนั้น ผู้ข้าฯ ยังว่าเล่นอยู่...
“ทำบุญให้เปรตในนรก บ่ต้องกลัวนะอีน้อย มันไม่เป็นบาปเป็นกรรมอันใดหรอก เงินของวัดก็คืนให้วัดหมดแล้ว อีน้อยก็ไม่ได้บอกว่าหากตุ๊หลวงเอาเงินให้แล้วจะให้นอนด้วย แต่นี่ตุ๊หลวงด่วนจะเอาเงินให้เสียก่อน วัดวาของเขาก็จะได้เป็นวัดวาศาสนาต่อไป”
พอตุ๊หลวงคนนี้ตาย ญาติโยมศรัทธาวัดนั้นเขาก็ดีอกดีใจได้พากันบำรุงดูแลวัดวาอาราม สมบัติวัดของพวกเขาต่อไป อีตัวที่เป็นแม่ค้ำอยู่ค้ำกินกับตุ๊หลวงนั้นก็บาปกรรมถูกรถชนตายกลางถนน
ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ
|