"พูดโดยรวมแล้วก็คือ กาย วาจา ใจ เรานี้แหล่ะ ทำให้มันเป็นบุญเป็นกุศลขึ้น กายของเราก็ต้องหล่อหลอมให้เป็นเงางาม ขัดถูด้วยศีลให้สะอาดสดใส วาจาของเราก็ทำให้เป็นวาจาที่ดี สิ่งใดที่ควรพูดก็พูด สิ่งใดที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูด เรื่องราวบางอย่างเป็นเรื่องที่ผู้ฟังชอบแต่เป็นเรื่องไม่ควรพูด เราอย่าพูด เรื่องบางอย่างผู้ฟังไม่ชอบ แต่ควรพูด เราก็ต้องพูด คนเรามีทั้งส่วนดีและส่วนชั่ว คนที่มีชั่วก็มีดีอยู่บ้าง มิได้ชั่วไปเสียหมด ต้องมองดูเขาในแง่ดีบ้างเหมือนลูกไม้บนต้นย่อมมีผลไม่เสมอกัน คนก็ไม่เสมอกันแต่...ต้องทำใจของเราให้เสมอไว้ ใจเราบางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี ฉะนั้น จงทำใจของเราอย่าให้มีโกรธ โลภ หลง อย่าโกรธ เกลียด พยาบาทปองร้ายเขา ปรารถนาดีให้แก่เขาบ้าง แผ่เมตตาอารีให้เขาบ้าง" :-
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
โลกิยะมรรคกับโลกุตระมรรคนั้นต่างกัน
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมาทิฐิมี 2 อย่าง คือ สัมมาทิฐิที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์ อย่างหนึ่ง กับสัมมาทิฐิที่เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรค อย่างหนึ่ง"
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมาสังกัปปะมี 2 อย่าง คือ สัมมาสังกัปปะที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์ อย่างหนึ่ง กับสัมมาสังกัปปะที่เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรค อย่างหนึ่ง"
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาวาจาเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมาวาจามี 2 อย่าง คือ สัมมาวาจาที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์ อย่างหนึ่ง กับสัมมาวาจาที่เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรค อย่างหนึ่ง"
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมากัมมันตะเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมากัมมันตะมี 2 อย่าง คือ สัมมากัมมันตะที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์ อย่างหนึ่ง กับสัมมากัมมันตะที่เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรค อย่างหนึ่ง"
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาอาชีวะเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมาอาชีวะมี 2 อย่าง คือ สัมมาอาชีวะที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์ อย่างหนึ่ง กับสัมมาอาชีวะที่เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรค อย่างหนึ่ง"
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมาวายามะมี 2 อย่าง คือ สัมมาวายามะที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์ อย่างหนึ่ง กับสัมมาวายามะที่เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรค อย่างหนึ่ง"
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมาสติมี 2 อย่าง คือ สัมมาสติที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์ อย่างหนึ่ง กับสัมมาสติที่เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรค อย่างหนึ่ง"
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสมาธิเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมาสมาธิมี 2 อย่าง คือ สัมมาสมาธิที่ยังมีอาสวะ ซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากแก่ขันธ์ อย่างหนึ่ง กับสัมมาสมาธิที่เป็นอริยะ ไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรค อย่างหนึ่ง"
ม.อุ. 14/258/181
สวดมนต์ไม่มีสมาธิ บุคคลที่เราอุทิศจะได้รับหรือไม่ ?
ถาม : ขณะที่สวดมนต์ไม่มีสมาธิ พอช่วงอุทิศส่วนกุศล บุคคลที่เราอุทิศจะได้รับหรือไม่ ? เพราะผู้สวดไม่มีสมาธิ
ตอบ : น่าคิดไหม ? สิ่งที่เราทำเป็นความดี ดังนั้น..ไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ตาม เมื่ออุทิศไป บุคคลที่เราตั้งใจให้ย่อมได้รับในส่วนกุศลนั้น เพราะว่าในขณะที่เรานั่งสวดมนต์อยู่เราทำชั่วด้วยกายไม่ได้ ขณะเดียวกันปากเราสวดมนต์อยู่ก็ทำชั่วด้วยวาจาไม่ได้ ต่อให้ใจคิดชั่ว ฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิขนาดไหนก็เสียแค่ส่วนเดียว ความดีได้ถึง ๒ ใน ๓ ส่วน เพราะฉะนั้น..อุทิศส่วนกุศลไปเถอะ อย่างไรก็มีบุญให้เขาแน่ ๆ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๘
|