นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 2:23 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 04 พ.ย. 2015 5:59 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
ผู้บริจาคดวงตาให้กับโรงพยาบาลมีอานิสงส์มาก‬

2. เมื่อบริจาคดวงตาแล้วจะได้กุศลเป็นส่วนไหนนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ปรารถนานายกอุทาหรณ์ เช่น นางอุบลวรรณถวายดอกบัวต่อพระปัจเจกฯ แล้วก็ปรารถนาว่า ข้าพเจ้าเกิดมาในภพใดชาติใด ขอให้สีกายเหมือนดอกบัว และก็ได้รับผลอย่างนั้นจริง จนได้ชื่อว่าอุบลวรรณานั่นเอง คำว่าอุบลแปลว่าดอกบัว คำว่าวรรณาแปลว่าผิพรรณ สีกายเหมือนดอกบัวอยู่ห้าร้อยชาติติดๆ กัน ดังนี้ ส่วนที่จะได้ดวงตาเห็นธรรม หรือไม่นั้นก็ต้องอธิษฐานว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้ดวงตาเห็นธรรม" อย่างนี้ก็จะได้จริงสมคำดังปรารถนาดังผลทาน

3. จะเป็นอานิสงส์ให้ได้ถึงฌาน หรือไม่นั้น มันก็ขึ้นกับคำปรารถนาดังกล่าวแล้วนั้นเองตลอดทั้งพระนิพพานด้วย

4. ในกรณีที่ตกลงบริจาคไว้แล้วไม่ได้พลิกคืนก็เท่ากับว่าบริจาคแล้ว ก็ต้องได้บุญซิ

5. ให้ดวงตาเขาไปแล้ว เกิดชาติหน้าไม่พิการ เพราะเชื่อผลศีลผลทาน เพราะผลศีลผลทานไม่ทำให้คนมีรูปขี้เหร่

6. และผู้ที่ไปเกิดไม่มีดวงตานั้น เป็นผู้มีบุพกรรมแต่ชาติก่อนเป็นต้นว่าได้ทำตาให้เขาบอดเป็นต้นเช่นพระจักขุ บาลเป็นพระอรหันต์ตาบอด เพราะได้ไปวางยาให้เขาตาบอด เพราะโกรธว่าเขาไม่ให้ค่ารักษา ที่เรารักษาตาให้หายแล้ว อันนี้พูดย่อเต็มที ในชีวประวัติของพระจักขุบาลยืดยาวนัก

7. เมื่อหมอเอาตาไปแล้วใส่ให้ผู้อื่นเกิดใช้ไม่ได้ หรือดวงนั้นเกิดเสียหาย หรือหมอทำผิดพลาดใดๆ ก็ดีจนดวงตาที่เอาไปนั้นใช้ไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้ผู้สละดวงตาก็ได้ผลตามเดิม เพราะจิตใจไม่ได้พลิกคืนว่าจะไม่ให้

8. ผู้ที่ทานร่างกายให้โรงพยาบาลเพื่อให้บรรดาหมอ และพยาบาลไปเรียน หรือศึกษาก็ต้องได้บุญเต็มส่วนของเจตนานั้นๆ

9. เมื่อบริจาคดวงตา และร่างกายให้โรงพยาบาลโดยไปทำการจดชื่อลงชื่อมอบให้แล้วมาบ้านนิมนต์พระมา ทำบุญ แล้วกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร และสัตว์ที่ผู้บริจาคได้ทำเอาไว้กับสัตว์ จะได้หรือไม่นั้นก็ยังเป็นปัญหาอยู่มาก เขาจะได้รับ หรือไม่ได้รับก็เป็นการเสี่ยงบุญ เพราะเขาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ถ้าหากว่าเขาเป็นเปรตสัมภเวสีเขาจึงจะได้รับ ส่วนเขาจะได้รับ หรือไม่นั้นผลของบุญมาหาเราตามเดิม ถึงแม้เขาจะจองเวรเราอยู่ก็ตามผลบุญส่วนนั้น ก็ต้องมาหาเราอยู่ ในบาลีจึงยืนยันว่า "ปัตติทานมัย" บุญสำเร็จด้วยการให้บุญ ดังนี้

10. ถ้าเราบริจาคแล้ว ผู้อยู่ข้างหลังไม่ทำตามคำสั่งเสีย ก็เป็นความผิดของเขา แต่เราได้บุญตามเดิมอยู่ ผู้เขาลืมเขาก็ต้องเป็นบาปบ้าง

11. นางภิกษุณีองค์แรก คือนางปชาบดีโคตมี เป็นพระอรหันต์ก่อนเพื่อน

•หลวงปู่หล้า เขมปัตโต•



ศีลขาดโต้งๆ‬ ในการฆ่าสัตว์เพราะมีเจตนาฆ่าสัตว์...รู้ว่าสัตว์มีชีวิตพยายามฆ่าสัตว์ตาย ตามความประสงค์อันนี้ศีลขาดจริง เพราะเจตนาภูมิส่วนไม่มีเจตนาแต่ทำให้เขาตายด้วยบาปเหมือนกัน แต่ศีลไม่ขาด ให้เข้าใจว่าศีลทั้ง 5 ข้อ เป็นศีลที่มีเจตนาจะล่วง ถ้าไม่มีเจตนาแล้วศีลก็ไม่ขาด แต่เป็นบาปเวรอยู่เหมือนกัน เพราะ บาปเวรที่ไม่มีเจตนา เช่น เราขับรถไปไม่เจตนาจะชนเขาแต่มันไปชนซะก็ได้รับโทษตามความเสียหาย เป็นเกณฑ์
•หลวงปู่หล้า เขมปัตโต•



เราจะบวชหรือไม่บวชก็ไม่เป็นปัญหา‬ เพราะครั้งพุทธกาลฆราวาสมีพระโสดาบันก็ดีที่เป็นเพศหญิง และชายที่อยู่ในฆราวาส พระสกทาคามีก็ดี พระอนาคามีก็ดีมีมากจนนับไม่ไหวเสียแล้ว ไม่สำคัญกับเพศเลย และไม่สำคัญกับชั้นวรรณะอีกด้วย แม้ฆราวาสเป็นพระอรหันต์ก็มีอยู่ถมไปเช่นพระสุทโธทนะ หรือ พระพาหิยะ เป็นต้น การดูแลเลี้ยงบิดามารดากับดูแลเลี้ยงพระอรหันต์ก็มีอานิสงส์เท่ากันพระบรม ศาสดายืนยันไว้แล้ว ในพระวินัยของพระภิกษุสงฆ์ เราจะทิ้งวิชาที่เราเรียนอยู่เดี๋ยวนี้ หลวงปู่ไม่เห็นดีด้วย เพราะวิชาเหล่านี้ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นสุวิชาแล้ว

คือเป็นวิชาดีไม่ใช่ทุวิชาคือวิชาชั่ว เราจะปฏิบัติควบกับศีลธรรมของเราได้ทั้งนั้น และขอให้เข้าใจว่าพระโสดาบันก็ดี พระสกทาคามาก็ดี พระอนาคามีก็ดี ครองฆราวาสได้ทั้งนั้น เว้นพระอรหันต์เสีย เมื่อเป็นอรหันต์ในฆราวาสแล้วจะอยู่ได้เพียง 7 วันเท่านั้น เพราะไม่สมฐานะพระอรหันต์จะไปอยู่นาน เพราะเพศเป็นฆราวาส ถ้าหากว่าเป็นเพศภิกษุสามเณรแล้วอยู่ไปได้จนสิ้นอายุขัย ข้อนี้ตอบตามปริยัติ ส่วนฝ่ายปฏิบัติบางองค์ท่านยืนยันว่าเมื่อสำเร็จพระอรหันต์เป็นฆราวาส แล้วอยู่ไปจนสิ้นอายุขัยก็ได้ แต่ก็ขอให้พิจารณาเอาเองเถิดในข้อนี้

•หลวงปู่หล้า เขมปัตโต•



ลูกๆที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนานั้น‬ ส่วนบิดามารดาไม่เลื่อมใสเรื่องเหล่านี้มันเป็นมาแต่ดึกดำบรรพ์ คือเรื่องพระโมคคัลลาน์ มารดาขององค์ท่านไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเลย เคยเป็นมารดาของพระอรหันต์ตั้ง 7 ชาติแล้ว ก็ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ส่วนท่านพระโมคคัลลาน์ ท่านก็หาวิธีปลอบโยนให้มารดาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลเลย องค์ท่านก็หมดปัญญา

ครั้นมารดาสิ้นลมปราณแล้ว องค์ท่านก็เข้าฌาน เหาะไปในที่ต่างๆ เพื่อจะไปเจอมารดาทั่วพิภพก็เลยไม่เห็นก็มากราบทูลพระบรมศาสดาว่า "เกล้าไปหาพระมารดาด้วยฤทธิ์กำลังฌาน ไปหาที่ไหนก็ไม่เจอเลย" พระบรมศาสดาตอบว่า "ถ้าเธอต้องการเห็นมารดาของเธอ เธอจงไปดูห้องถ่าย" เพราะห้องถ่ายแต่โบราณมันเป็นหลุมปล่อย องค์ท่านบอกว่า "มารดาของเธอเป็นหนอนอยู่ในหลุมถ่ายนั้น" เมื่อองค์ท่านได้ฟังแล้วก็หมดปัญญา ก็เลยใช้อุเบกขาตามบุญตามกรรม

แต่เราปัจจุบันนี้ถ้าเจออย่างนั้นจะปฏิบัติอย่างใด ส่วนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ใจของใครของมัน ไม่เป็นของสำคัญอะไรนัก ส่วนเราจะไปมาหาสู่หมู่เพื่อนตลอดพระภิกษุ สามเณร อันเป็นชาวพุทธ ถ้าหากว่าท่านห้าม ความไม่เป็นธรรมก็อยู่กับท่าน แต่เราอย่าไปโกรธให้ท่าน หาอุบายเคารพ ขอกราบไหว้ให้ทรงอนุญาต ถ้าไม่ทรงอนุญาตแท้ๆ เราก็ไม่ฝืน แต่จิตใจของเราอุทิศยอมเป็นยอมตายต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

และเราก็พยายามไม่ให้กระทบกระทือนท่าน พูดจาปราศัยด้วยความเคารพอ่อนน้อมบอกว่าจิตอารมณ์ของลูกเป็นอารมณ์อยู่กับ พุทธ ธรรม สงฆ์ แกะไม่ได้คลายไม่ออก บิดามารดาผู้ทรงคุณล้นเกล้า จะดุด่าว่ากล่าวอย่างไงก็ขอกราบเท้าทูลถวายอย่าให้ลูกๆ ได้เป็นบาปเป็นกรรมอันใดเทอญ เราต้องไปแถวนี้ เรียกว่าเอาใจดีฆ่าเสือ ได้ผลหรือไม่ได้ผลเราก็พยายามอย่างนั้น สุดท้ายก็คงลงเอยกับเรา เพราะเราเคารพท่านอยู่ไม่ได้ทำแข็งกระด้าง ด้วยกาย วาจา ใจ และขอจงเชื่อว่าบาปไม่ชนะบุญแต่ไรๆ แล้ว

•หลวงปู่หล้า เขมปัตโต•


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO