มรณกรรมฐานนี้ต้องนึกต้องเจริญไว้ให้ได้ในกายของตัวเอง ถ้าผู้ใดทำน้อย ปฏิบัติน้อย ยังถึงขั้นเลิกความหลงอะไรยังไม่ได้นั้น จะต้องกระวนกระวายที่สุด เพราะจิตอุปาทาน ความยึดในร่างกายสังขาร เป็นรูปขันธ์นั้นมันมาก เจ็บน้อยมันก็เป็นเจ็บมาก เจ็บมาก ก็ตาย ไปเลย เพราะจิตมันยึดมั่นถือมั่น ถ้าจิตนี้ปล่อยได้วางได้ เลิกได้ ละได้อะไร ๆ ก็ช่างมันเถอะ มันเกิดได้มันก็แก่ได้ มันเกิดมาได้ มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดาได้ มันเกิดมาแล้วมันก็ตายได้ เวลาตายกำหนดไม่ได้ ลมเข้าไปออกไม่ได้ก็ตาย หายใจออกไปสุดเข้ามาไม่ได้ก็ตาย กลางคืนก็ตายได้ ตอนเช้า ๆ อย่างเราอยู่นี้ก็ตายได้ กลางวันก็ตายได้ เดือนไหนก็ตายได้ วันไหนก็ตายได้ ไม่เลือกเวลา เมื่อจัดส่วนรวมแล้ว เดี๋ยวนี้ก็มีคนตาย เดี๋ยวนี้ก็มีคนเจ็บ หรือความเจ็บนี้ บางคนก็มันเกิดขึ้นแล้ว ติดขึ้นแล้วเหมือนไฟไหม้บ้าน ว่าถ้าจะดับไหว หรือเอาได้ หรือไม่ได้ ก็เหมือนกันที่เราว่า ไม่สบายอย่างนั้น ไม่สบายอย่างนี้ เปรียบเหมือน อย่างว่า ไหม้บ้าน ไหม้เรือน ไหม้กุฏิ ติดหลังคามา จะดับได้ดับไหวหรือไม่ไหว ก็แล้วแต่ตัวเอง บุญบาปนั้นมันมีอยู่ในตัวนี้ แล้วก็ไม่เลือกเวลาด้วย ไม่ยกเว้นด้วย คนโบราณ จึงตั้งชื่อความตายนี้ว่า เป็นพญาใหญ่ที่สุด ใครจะมารบราฆ่าฟัน กับพญามัจจุราชนั้น ไม่มีใครจะชนะได้ พ่ายแพ้ทุกรายไป
พระพุทธองค์ท่านจึงให้กำหนดความตายนี้ให้ได้ทุกลมหายใจ คือว่ามันใกล้เข้าไป หมดไปสิ้นไป ถ้าว่าถึงคนทั้งโลกแล้ว เดี๋ยวนี้ก็มีคนตาย ตายนับไม่ได้ก็มี ตายคนเดียวก็มี ตาย 2 คน 3 คนในขณะเดียวกัน หญิงก็ตายได้ ชายก็ตายได้ ไม่ใช่ตายแต่คนเฒ่าคนแก่ เด็ก ๆ ยังไม่รู้อะไร ก็ตายได้ นี่แหละมรณกรรมฐาน ผู้ภาวนานั้นไม่ต้องไปรู้อื่น ไม่ต้องไปเรียนนอก ให้เรียนใน เรียนใน คือเรียนในกายวาจาจิตของตัวเอง ดูพิจารณาอะไรมันตาย อะไรมันยัง อะไรจะตายก่อน อะไรมันตายนานแล้ว กำหนดให้รู้ดูให้มันเห็นจิตใจ กิเลสมันจึงจะอยู่ยั้ง ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็พาให้ดิ้นรน วุ่นวาย กระสับกระส่าย ภาวนาไม่ลง ภาวนาไม่สงบ มองไม่เห็น กำหนดไม่ได้ มืด 4 ด้าน 4 ทิศ มืด 10 ทิศ จะนึกภาวนาพุทโธก็ไม่ได้ นึกถึงความตาย ก็ไม่ได้ไม่เห็น
จงเพียรเพ่งดูให้เห็นแจ้ง ด้วยสติปัญญาของตัวเอง อันผู้อื่นแนะนำสั่งสอน เป็นอีกคนหนึ่ง เป็นการเตือนใจให้สติ ความจริงแล้วให้จิตใจของตัวเอง จิตผู้รู้นั่นแหละ มองเห็นตลอด ทั้งภายในและภายนอก มองเห็นตัวเองว่าตาย เดี๋ยวนี้ก็ตายได้ คนทั้งหลาย ที่เราเห็นว่า เขายังไม่ตาย ผลที่สุดก็ตายหมด ไม่มีใครอยู่ เกิดแล้วต้องตาย
ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมนั้นต้องกำหนดอยู่ทุกเวลา ต้องเตือนจิตใจของตนให้ได้ทุกเวลา จิตใจจึงจะมีพละกำลังความสามารถอาจหาญในการปฏิบัติบูชาภาวนาเพื่อเลิกละความโกรธ ความโลภ ความหลงให้หมดไปสิ้นไป ดังแสดงมาก็สมควรด้วยกาลเวลา เอวัง ก็มี ด้วยประการ ฉะนี้
•หลวงปู่สิม พุทธาจาโร•
พ่อแม่ครูอาจารย์เสาร์ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น และศิษย์พระกรรมฐานทั้งหลายที่จาริกไปแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อทำความเพียร เจริญจิตภาวนานั้นก็เพื่อให้เกิดปัญญาในธรรมขั้นสูงๆ ขึ้นไป ในขณะเดียวกันนั้นก็เพื่ออบรม สั่งสอนประชาชนชาวบ้านที่ไปโปรดทั้งบิณฑบาต และแสดงธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ละทิฏฐิเก่าที่เชื่อนับถือผี ให้หันมายึดในไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสัมมาทิฏฐิและเป็นหนทางที่จะดับทุกข์ได้ ภูต ผี เทวดาต่างๆ ยังมีกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ พอใจก็ให้คุณได้ ถ้าไม่พอใจก็ให้โทษ แต่ไตรสรณคมน์นั้นมีแต่คุณ พระพุทธเจ้าสอนให้ละ โลภะ โทสะ โมหะ และชักจูงให้ชาวบ้านญาติโยมประพฤติปฏิบัติตามจะได้มีสุขและหาทางพ้นทุกข์ในที่สุด
ชาวบ้านที่มาฟังธรรม รักษาศีล ตามวัดต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกกลัวผี โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก เรียกว่า “ขวัญอ่อน” เคยมีเหตุการณ์ยามดึกสงัด โยมได้ยินเสียงเสมือนสัตว์วิ่งเหยียบใบไม้บนพื้นดังชอบๆ สักพักก็หยุดแล้วก็ดังใหม่ขึ้นอีกมาเป็นระยะๆ เสียงตะโกนมาว่า “ช่วยด้วยผีมา” ได้ยินเหมือนขึ้นต้นไม้เมื่อฉายไฟไปยังเสียงก็ปรากฏว่าเป็นตัวบ่างวิ่งหากินในยามค่ำคืน นี่แหละจิตที่กิเลสครอบงำอยู่ปรุงแต่ง ปัญญาธรรมเข้ามาไม่ทันก็กลัว เมื่อรู้อย่างนี้แล้วความกลัวคงน้อยลง ความกล้าคงมากขึ้นจนไม่กลัวเลย
พระอาจารย์อินทร์ถวาย เคยถามหลวงปู่ว่า “หลวงอา กลัวไหมครับ” หลวงปู่ตอบว่า “ไม่กลัวมันหรอก เพราะเขากลัวเราจนร้องห่มร้องไห้แล้ว เราจะไปกลัวเขาทำไม”
เมื่อน้อมมาพิจารณาเป็นธรรมะจะเห็นได้ว่า ผีในจิตใจของเราร้ายยิ่งกว่าผีภายนอก กิเลสในจิตใจเป็นผีร้ายคอยสิงอยู่ให้จิตใจคิดทำความชั่ว บาปอกุศล แต่ถ้าธรรมะเข้ามาอยู่ในจิตใจเมื่อใดย่อมจะคิดทำความดีทำบุญกุศล หลวงปู่จามจึงพยายามสั่งสอนให้ทำความดีย่อมได้ผลดีตลอดไป
•ธรรมประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
|