พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
เสาร์ 07 พ.ย. 2015 12:30 pm
“…ผู้มีศีลสัตย์ เมื่อทำลายขันธ์ ไปในสุคติ ในโลกสวรรค์
ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษา และสนับสนุน
จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์
ธรรมก็สั่งสอนแล้ว ควรจะจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง
จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน…”
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร
เรื่องแก้ปัญหาชีวิตของเรานี้เบื้องต้นพระพุทธองค์หรือนักปราชญ์ทั้งหลายท่านสอนว่าให้มีศีลธรรม ให้รู้จักศีลธรรม เช่นเพชรเม็ดนี้ของใครนะฉันอยากได้ แต่ฉันจะขโมยเอาก็กลัวจะบาป นี่เท่านี้ก็พอแล้ว เรียกว่าศีลธรรม ถ้าเราเห็นอย่างนี้ก็จะเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว อาตมาเคยพูดว่าพวกเราทั้งหลายในปีสองปีมานี้ชอบทำบุญสุนทานกันมาก การคมนาคมก็สะดวก ไปทัศนาจรแสวงบุญกัน แต่มามองดูแล้วมันไปแสวงบุญอย่างเดียว แต่มันไม่แสวงหาการละบาป มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ว่าให้เราละบาปก่อนจึงบำเพ็ญบุญ ไปทำบุญ ไม่ละบาปมันก็ไม่หมด มันเป็นเชื้อโรคติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา มันจึงเดือดร้อนกัน
หัวใจพุทธศาสนาสอนว่า ไม่ให้ทำความผิด แล้วก็ทำจิตให้เป็นกุศลแล้วก็จะเกิดปัญญา แต่ทุกวันนี้ทำบุญกัน แต่การละบาปนั้นไม่มีใครคิดเห็น ความเป็นจริงนั้นก็ต้องละบาปก่อนจึงบำเพ็ญบุญกุศล ถ้าบาปไม่ละจะเอาบุญไปอยู่ที่ไหน ไม่มีที่จะอยู่หรอกบุญนั้น ฉะนั้นเราต้องกวาดเครื่องสกปรกออกจากใจของเราเสีย แล้วจึงจะทำความสะอาด เรื่องนี้พวกเราควรจะเอาไปคิดพิจารณา
พวกเราทุกวันนี้เรียกว่ามันขาดการภาวนา ขาดการพิจารณาจึงไม่ได้ข้อประพฤติปฏิบัติ เมื่อไม่เห็นชัดก็ไม่ได้ปฏิบัติ มันจึงแก้ปัญหาไม่ได้ มันไม่มีใครถอยออกมาพิจารณา ให้มันเห็นชัดตามหลักพุทธศาสนา เช่นว่า เจ้านายบางคนก็มากราบหลวงพ่อ ถามว่า "บ้านเมืองมันจะเป็นอย่างไรหนอ คงจะไม่เป็นอะไรมั้งครับ มันมีอำนาจของพระพุทธ อำนาจของพระธรรม อำนาจของพระสงฆ์ มีอำนาจของพระพุทธศาสนา"
พระพุทธศาสนาไม่มีอำนาจอะไรเลย แม้ก้อนทองคำก็ไม่มีราคาถ้าเราไม่มารวมกันว่ามันเป็นโลหะที่ดีมีราคา ทองคำมันก็จะถูกทิ้งเหมือนก้อนตะกั่วเท่านั้นแหละ พระพุทธศาสนาตั้งไว้มีอยู่ แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติจะไปมีอำนาจอะไรเล่า อย่างธรรมะเรื่องขันติมีอยู่แต่เราไม่อดทนกัน มันจะมีอำนาจอะไรไหม
อำนาจหลักพระพุทธศาสนา ก็คือพวกเราที่เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนานี่แหละ ช่วยกันบำรุง เช่นทำศีลธรรมให้เกิดขึ้นมา มีความสามัคคีกัน มีความเมตตาอารีซึ่งกันและกัน มันก็เกิดขึ้นมาเป็นกำลังของพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าพระพุทธศาสนานั้นมันจะมีอำนาจ ที่มีอำนาจก็เพราะเราเอาธรรมะนั้นมาปฏิบัติให้ถูกต้อง มันจึงจะมีพลังเกิดขึ้นมา ช่วยแก้ปัญหาหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างเช่นคนในศาลานี้มันตั้งใจจะรบกัน แต่พอมาฟังธรรมะที่ว่าการอิจฉาหรือการพยาบาทมันไม่ดี เข้าใจทุกๆคน เท่านั้นก็เลิกกัน อำนาจพุทธศาสนาก็เต็มเปี่ยมขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่ถ้าพูดให้ฟังเท่าไรๆก็ไม่ยอมกัน มันก็รบกันเท่านั้นแหละ พุทธศาสนาจะมากันอะไรได้ นี่มันเป็นอย่างนี้
พระธรรมคำสอนโดย
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
“กรรมมีจริง ผลของกรรมมีจริง”
“กรรมดีให้ผลดีจริง กรรมชั่วให้ผลชั่วจริง”
“ผู้ใดทำกรรมใดไว้ จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
ผู้ไม่ได้ทำ หาต้องได้รับไม่”
ความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มีอยู่ให้ได้ยินได้ฟังอยู่เนื่องๆ เช่น
มารดาบิดาทำไม่ดีต่างๆ นานาให้เห็น
เกิดเหตุการณ์รุนแรงแก่ชีวิตบุตรธิดา
ก็มักกล่าวกันว่าลูกรับเคราะห์แทนมารดาบิดาบ้าง
หรือลูกรับกรรมแทนมารดาบิดาบ้าง
ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น
กรรมของผู้ใด ผลย่อมเป็นของผู้นั้น
จะรับผลกรรมแทนกันไม่ได้...ไม่มี
มารดาบิดาทำไม่ดี ทำบาปทำอกุศล
ยังอยู่ดีมีสุขเพราะผลของบาปอกุศลยังส่งไม่ถึง
แต่บุตรธิดาที่ไม่ทันได้ทำบาปทำอกุศล
กลับต้องมีอันเป็นไปต่างๆ นั้น
นั่นเป็นเรื่องของการรับผลของบาปอกุศลที่ทำไว้ในภพชาติก่อน
ที่ตามมาส่งผลในภพในชาตินี้แน่นอน
บุตรธิดาผู้ได้รับผลไม่ดีต่างๆ นานา
ต้องทำกรรมไม่ดีไว้ในภพชาติหนึ่งแน่นอน
แต่เราไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้น
ไม่ใช่บุตรธิดารับผลกรรมแทนมารดาบิดา
ผู้จะเกิดร่วมกัน เป็นแม่เป็นพ่อเป็นลูกกัน
ต้องมีกรรมดีกรรมชั่วในระดับเดียวกัน
ไม่แตกต่างห่างไกลกัน
จึงทำให้เหมือนลูกรับกรรมแทนพ่อแม่ผู้ทำบาปอกุศล
ลูกที่มารับผลไม่ดีต่างๆ ขณะที่พ่อแม่ผู้ประกอบกรรมไม่ดีนั้น
นั่นเพราะกรรมไม่ดีของลูกส่งผลทันในระยะนั้น
จึงทำให้ยากจะเข้าใจได้ จึงทำให้เกิดความสับสนกันมาก
กรรมของคนหนึ่ง ผลจะไม่เกิดแก่อีกคนหนึ่งแน่นอน
: อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก
อาตมาจำได้ว่า เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก แล้วอยากได้ของเล่นอยู่อย่างหนึ่ง อาตมารับปากกับโยมแม่ว่า ถ้าโยมแม่ให้ของเล่นชิ้นนั้นกับอาตมาแล้ว อาตมาจะไม่อยากได้อะไรอีกเลยตลอดไป ของเล่นชิ้นนั้นต้องให้ความสุขกับอาตมาอย่างเต็มที่แน่ อาตมามั่นใจอย่างนั้น อาตมาก็ไม่ได้โกหกโยมแม่ด้วย เพราะสิ่งเดียวที่ขัดขวางไม่ให้อาตมามีความสุขในตอนนั้น ก็คือการที่อาตมาไม่มีของเล่นที่อยากได้
ในที่สุดโยมแม่ก็ซื้อของเล่นมาให้อาตมา อาตมามีความสุขกับของเล่นอันใหม่ ได้เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น ต่อจากนั้น อาตมาก็เริ่มรู้สึกอยากได้ของอย่างอื่นอีก ดังนั้น เมื่ออาตมาได้สิ่งที่ต้องการ อาตมาก็รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นความต้องการอย่างอื่นก็โผล่ตามมา
อาตมายังจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะตอนที่อยู่ในวัยเด็กขนาดนั้น อาตมาแน่ใจเหลือเกินว่า ถ้าหากอาตมาได้ของเล่นที่อยากได้ อาตมาจะต้องมีความสุขตลอดไป แต่แล้วอาตมาก็ต้องมาพบกับความจริงที่ว่าความสุขตลอดไปนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
หลวงพ่อสุเมโธ
หญิงคนหนึ่งมาหาหลวงปู่ด้วยความกลัดกลุ้มใจ ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เนื่องด้วยสามีแอบไปมีเมียน้อย ก็มากราบหลวงปู่ แล้วก็เล่าให้หลวงปู่ฟัง หลวงปู่ก็พูดว่า
“คนไทยนี่ อะไร ๆ ก็ไม่เสียดายหรอก ในโลกนี้ ให้หมดนะ อามิสน่ะ !
แต่มีข้อแม้ว่า... ผัวดิฉันนะ !
ใครแตะไม่ได้นะ ! เอาตายเชียวนะ !
จะไปนิพพาน จะเอาผัวไปด้วย ปัทโธ่ !
เขาไปนิพพาน
เขาเอาผัวเอาเมียไปด้วยที่ไหนกัน ?
เขาเอาธรรมะไปต่างหากล่ะ !”
หลวงปู่บุดดา ถาวโร
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.