พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พุธ 18 พ.ย. 2015 1:15 pm
มนุษย์เกิดสัตว์เกิดก็ไม่ผิดอะไรกับเห็ดเกิดนั่นแหละ เขาว่าเห็ดออก ๆ ก็เห็ดเกิดนั่นละดูซิ เกิดตอนเช้าตอนเย็นก็ยุบยอบตายไปพังลงไปแล้ว เห็นไหมมันแก่ ตอนเช้ามองดูก็น่าดู ตูมออกมา ต่อไปก็บานแล้วก็ร่วงโรยไปก็เท่านั้น นั่นละเราเห็นได้ชัดก็คือมันรวดเร็ว ปรากฏขึ้นมาตอนเช้า ตอนบ่ายบานแล้วก็แก่ไปและเปื่อยเน่าไป นี่เห็นได้ชัด
สัตว์และมนุษย์ทั้งหลายก็เหมือนกันนั่นแหละ แต่เราไปคาดเอาเฉย ๆ ว่ามันยืดมันยาวไปว่าเอา มันไม่ได้ยืดได้ยาวแหละ มันหมุนตัวของมันไปเช่นเดียวกับเห็ดนั่นแหละ ความหมุนตัวของมันก็หมุนอย่างเดียวกัน และลงไปในจุดอันเดียวกัน คือธาตุอันเดียวกันนั่นเอง ไม่มีอะไรที่จะให้ตายอกตายใจได้
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๘
"..ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่า
ที่จะพูดนี้ จำเป็นหรือเปล่า
ถ้าไม่จำเป็น ก็..อย่าพูด
นี่..เป็นขั้นต้นของการอบรมใจ
เพราะ..ถ้าเรายังควบคุมปากตัวเองไม่ได้
เราจะควบคุมใจตัวเอง ได้อย่างไร?.."
...........................
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก
นิทานธรรมะสอนใจ
เรื่อง.. "หลวงตา"กับ"เด็กวัด"
...วันหนึ่ง หลวงตากลับจากการบิณฑบาต
เจอเด็กวัดนั่งร้องไห้
หลวงตาถามว่าเป็นอะไร
เจ้าเด็กน้อยก็บอกว่า เขาใส่ร้ายว่าเป็น "ขโมย"
เขาเป็นคนที่เข้าไปปัดกวาดเช็ดถูในหอพระบ่อยๆ
พอเงินในหอพระหายไป
ทุกคนก็หาว่าเขาเป็นคนขโมยเงิน
"ทั้งที่ผมไม่ได้ทำ แต่ไม่มีใครเชื่อผมเลย"
เจ้าเด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้น
หลวงตานั่งปลอบเด็กวัดเป็นปริศนาธรรม
"เจ้ารู้ไหมว่าในตัวเรามีคนอยู่ ๓ คน
คนแรกคือคนที่เราอยากเป็น
คนที่สองคือคนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
และคนที่สามคือตัวเราที่เป็นเราจริงๆ"
เจอปริศนาธรรมเข้า เด็กวัดก็นิ่งฟัง
หลวงตาบอกว่า เราทุกคนล้วนมี "ความฝัน"
และ "ความฝัน" เป็นสิ่งสวยงาม
เป็น "พลัง" ให้เราก้าวเดิน
บางคนอยากเป็นนักร้อง ดารา
บางคนอยากเป็นนักธุรกิจร่ำรวย
นั่นคือ "คนแรก" ที่เราอยากเป็น
ส่วน "คนที่ ๒" นั้น เราไม่ได้คิด ไม่ได้ฝัน
แต่ "คนอื่น"เป็นคนกำหนด
มองว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
บางครั้งก็ "ดีเลิศ"จนเราอาย
เพราะจิตสำนึกบอกเราว่า "ไม่จริง"
บางครั้งก็ "เลวร้าย"จนแทบจะรับไม่ได้
เพราะเรารู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ........
เจ้าเด็กน้อยนั่งฟังอย่างตั้งใจ
หลวงตาสอนว่า "คนที่ ๒" ในตัวเรา
เรากำหนดไม่ได้ เพราะเป็นโลกในมือคนอื่น
บางคนก็มองเราดี บางคนก็มองเราในแง่ร้าย
มองผ่าน "กระจกสีดำ"ในใจตัวเอง
*** "เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจเราออกมา"
หลวงตาสอนว่า..
"ดังนั้น ถ้าเราเห็นใครทำไม่ดี
จงเตือนตนเองเสมอว่า อย่าทำ อย่าเลียนแบบ"
"แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรครับ เมื่อเจอคนแบบนี้เรื่อยๆ"
ลูกศิษย์ถาม หลวงตายิ้ม
"ให้นึกถึง "คนที่สาม "ที่อยู่ในตัวเรา"
นั่นคือตัวเราที่เป็นเราจริงๆ
หลวงตาสอนว่า ต้องพยายามเข้าใจจิตใจมนุษย์
เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ
"เราห้ามใจใครไม่ได้ แต่ให้คิดเสมอว่า
สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น
เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้
และเขาเหล่านั้น เป็นคนที่น่าสงสาร
มีเวลามากในการมองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง"
หลวงตาลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ
"จงแผ่เมตตาให้เขาไป"
"ปากของเรานี้ลมมันแรง
จึงต้องสร้างกำแพงไว้ ๒ ชั้น
กำแพงชั้นนอกก็คือริมฝีปาก
กำแพงชั้นในนั้นก็คือฟัน
เพื่อต้านลมปากของเรา
ถึงกระนั้นมันก็ยังทะลุออกมาได้
เมื่อเวลามันเกิดโทโสโมโห
ลมมันทะลุกำแพงออกมา
เหตุนั้นจึงให้สำรวม สำรวมวาจาของเรา
ให้อยู่ในขอบเขต ไม่ให้พูดโกหก มีมายา"
พระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย)
วัดศรีธรรมาราม จ.ยโสธร
“อย่ารักแบบยึดติด”
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมากราบหลวงพ่อ ได้เล่าถึงการสูญเสียลูกชายขณะบวชเป็นพระ ซึ่งอายุเพียง ๒๓ ปี (บวชได้ ๒ พรรษา)
หลวงพ่อ : เสียลูกคงจะเสียใจมากนะ
โยม: รู้ว่าที่สวดๆทำวัตรเช้าวัตรเย็น การพลัดพรากจากของรักของเจริญใจเป็นทุกข์ ตอนแรกก็สวดเราก็รู้ว่าทุกข์ เพราะไม่เจอกับตัวเองเราไม่รู้ พอแม่เสียก็ไม่เสียใจเท่านี้ เพราะท่านไปด้วยวาระ คืออายุมากแล้ว แก่แล้วเจ็บตาย แต่ลูกนี้ยังไม่แก่เลย หนุ่มๆก็ไปได้ น้ำตาไหลอยู่ ๓ เดือนครับ แว๊บคิดขึ้นมาก็ไหลๆ รู้เลยว่าเข้าถึงหัวใจ เสียใจเหมือนใจจะขาด เสียใจขนาดนั้น แล้วก็เลยรู้ว่าทุกข์ขนาดนี้เวลาเสียของรักที่เรารักอยู่
หลวงพ่อ : คิดว่าจะทุกข์กว่าเวลาที่เราจะต้องตายไหม
โยม : ครับ ผมว่าเราตายทุกข์กว่า
หลวงพ่อ : คนเราไม่รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไรนะ ต้องเจอเอง เวลาสวดก็สวดแต่ชื่อไม่ได้เจอตัวมัน
โยม : พอเจอนี้โอโห แทบ
หลวงพ่อ : ไม่คิดว่าตัวเองจะทุกข์ได้ขนาดนี้นะ
โยม : ครับ ไม่เคยคิดเลยครับ ทีนี้ก็เห็นคนที่เขามีลูกแล้วตายกระทันหัน อุบัติเหตุตาย เห็นเขาร้องห่มร้องไห้เสียใจ เข้าใจเขาเลยครับว่าเขาทุกข์อย่างไร ตอนแรกเราเห็นอยู่ว่าเขาเสียใจ แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันเข้าไปถึงขนาดไหน พอรู้แล้ว อ๋อ มันขนาดนั้นจริงๆ ถ้าคนทำอารมณ์ไม่ได้ ทำใจไม่ได้ก็เป็นบ้าไปเหมือนกัน
หลวงพ่อ : มันทรมานจิตใจนะ แต่มันก็ดีอย่างนะ มันทำให้เราได้เห็นทุกข์ เราจะได้เชื่อพระพุทธเจ้า ที่ท่านบอกว่าเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ พลัดพรากจากกันเป็นทุกข์ ไปเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ เห็นเหตุของความทุกข์หรือเปล่า
โยม : เห็นครับ รักมากเท่าไรทุกข์มากเท่านั้นครับ
หลวงพ่อ : คือความอยากนะ รักอะไรก็อยากจะให้อยู่กับเราไปนานๆ ถ้าไม่รักก็จะไม่ทุกข์นะ คนที่เราไม่รักนี้เขาจะเป็นตายอย่างไรเราก็ไม่เดือดร้อน แล้วตอนนี้หยุดความรักได้ไหม
โยม : ก็กิเลสมันดึงนะครับ พอเราคิดว่าผู้หญิงผู้ชายชอบกันแต่งงานกันแล้ว ปฏิสัมพันธ์แล้วมีลูกมีเต้าขึ้นมาก็สร้างความทุกข์ขึ้นมาทั้งนั้นเลยในโลก เพราะทุกคนในโลกนี้เป็นเหมือนกันหมด เป็นเหมือนเราหมดเลยแล้วก็ถ้าไม่รักมันก็ไม่ทุกข์ ถ้ารักเมื่อไรมันก็ทุกข์เมื่อนั้น
หลวงพ่อ : รักแล้วตอนนี้ตัดมันได้ไหม
โยม : ตอนนี้ก็ยังครับ มันก็ยังดึงอยู่ครับ แต่ว่าก็ต้องหักใจครับ ถึงเวลาก็ต้องตัดใจครับ
หลวงพ่อ : ต้องหัดหยุดรักตัวเรา หยุดรักทุกสิ่งทุกอย่าง มีความเมตตาต่อกันได้ แต่อย่าไปรักแบบยึดติด รักแบบว่ามีความปรารถนาดีต่อกันดูแลกันช่วยเหลือกัน แต่อย่ารักแบบเป็นของเรา ถ้ารักแบบเป็นของเรา มันก็จะอยากให้อยู่กับเราไปเรื่อยๆ ถ้าอยากแล้วก็จะทุกข์ ถ้าไม่ได้รักแบบเป็นของเรา รักแบบว่าเป็นของคนอื่น เราก็เพียงแต่ดูแลกันไปช่วยเหลือกันไป เวลาจากกันไปก็จะไม่ทุกข์ เหมือนกับเรารักคนอื่น มีความเมตตา มีความปรารถนาดีต่อคนอื่น เราก็ไม่ได้ไปถึงกับยึดเขามาเป็นของเรา เขาจะเป็นอะไรเราก็จะไม่ทุกข์กับเขา.
ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ สนทนาธรรม
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.