หลวงปู่มั่นอธิบายความแตกต่างระหว่างจิตและอาการของจิต “พูดถึงอาการทั้งหลาย เหล่านี้ ท่านอาจารย์มั่นท่านบอกว่า เป็นอาการ เราไม่รู้อาการทั้งหลายก็นึกว่าเป็นความจริงทั้งหมด นึกว่าจิตเราทั้ง
หมด แต่มันเป็นอาการทั้งนั้นน่ะ พอท่านบอกว่าเป็นอาการ เราสว่างเลยทีเดียว อย่างความดีใจอย่างนี้มันก็มีอยู่ในใจ แต่ว่ามันเป็นอาการ มันคนละ
อย่างคนละชั้นกันอยู่กับตัวจิต ถ้าความเป็นจริงรู้แล้ว มันก็เลิก มันก็วาง เป็นสมมุติแล้วมันก็เป็นวิมุตติ มันเป็นอยู่อย่างนี้ คนบางคนก็เอามารวมทั้ง
หมดเป็นตัวจิตเสีย ความเป็นจริงมันเป็น อาการกับผู้รู้ ติดต่อกันอยู่ ถ้าเรารู้จักอันนี้แล้ว ก็เรียกว่ามันไม่มีอะไรมาก”
•อุปลมณี• หลวงพ่อชา สุภัทโท• ฟังโอวาทธรรมหลวงปู่มั่นคืนที่สอง
จำเป็นไหมที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายๆ ชั่วโมง บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใดก็จะยิ่งเกิดปัญญามากเท่านั้น ผมเคยเห็นไก่กกอยู่ในรังของมันทั้งวันนับเป็นวันๆ ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรา มีสติในทุกๆ อิริยาบถ การฝึกปฏิบัติของท่านต้องเริ่มขึ้นทันทีที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไป อย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ สิ่งสำคัญก็คือท่าน เพียงแต่เฝ้าดูไม่ว่าท่านจะเดินอยู่ หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง บางคนต้องตายเมื่อมีอายุ ๕๐ ปี บางคนเมื่ออายุ ๖๕ ปี และบางคนเมื่ออายุ ๙๐ ปี ฉันใดก็ฉันนั้น ปฏิปทาของท่านทั้งหลายก็ไม่เหมือนกัน อย่าคิดมาก หรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย จงพยายามมีสติและปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน แล้วจิตของท่านก็จะสงบมากขึ้นๆ ในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง มันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่า ที่ซึ่งบรรดาสัตว์ป่าที่สวยงามและหายากจะมาดื่มน้ำในสระนั้น ท่านจะเข้าใจถึงสภาวธรรมของสิ่งทั้งปวง (สังขาร) ในโลกอย่างแจ่มชัด ท่านจะได้เห็นความอัศจรรย์และแปลกประหลาดทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป แต่ท่านก็จะยังคงสงบอยู่เช่นเดิม ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นแต่ท่านจะรู้ทันมันได้ทันที นี่แหละคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า หัวข้อสารบัญ
•หลวงพ่อชา สุภัทโท•ตอบปัญหาธรรม
โอวาทธรรม หลวงพ่ออินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก "โลกนี้มันน่าเบื่อจริงๆนะ เกิดแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย ตอนที่ตาย มันทนทุกข์ทรมาน ไม่มีใครช่วยได้ในช่วงนั้น เกิดมาภพหน้า ก็ตายอีก เกิดอีก ก็ตายอีก มันน่าเบื่อ แต่คนเรามันยังไม่ถึงจุดนั้น มันก็คิดไม่ถึง เห็นแต่คนอื่น แต่พอมาเจอกับตัวเอง มันไม่ใช่ธรรมดานะ" "หากพวกเรา ปล่อยวันคืนเดือนปี ผ่านไปๆ โดยที่ไม่ได้สร้างคุณงามความดีอะไรเลย ผ่านไป เหมือนน้ำที่ไหลลงภูเขา มันไหลไปโดยไม่ได้กักตุน ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์สำหรับน้ำ น้ำมันก็ไหลไปสู่ทะเล ก็จบ ชีวิตของพวกเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าพวกเราปล่อยไป มันก็ไหลไปสู่ความแก่ เจ็บ ตายในที่สุด ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร" "ให้พวกเราหาธรรม อย่าไปหาโลก เราอยู่กับโลก หาโลกมานานต่อนานแล้ว ให้พวกเรามาหาธรรมอย่างจริงจัง" "การเสาะแสวงหาสิ่งภายนอกนั้น มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่เสาะแสวงหาธรรมภายในใจนั้น มีแต่ความสงบร่มเย็นเป็นสุข ธรรมมีหลายระดับ มีหลายขั้น ขอให้พวกท่านทั้งหลายเข้ามาหาธรรมนี้เถิด" "การประพฤติปฏิบัติธรรม อย่าไปทำแบบลุ่มๆดอนๆ ถ้าวันนี้ ทำก็ทำจนไม่รู้จักหยุดจักหย่อน พอหยุดทำแล้วก็ปล่อยปละละเลย ไม่ได้สนใจอะไร ทำอย่างนั้นมันไม่สืบเนื่อง ถ้าหากว่าเราทำสืบเนื่อง ทำไปเรื่อยๆ พิจารณาไปเรื่อยๆ แก้ไขไปเรื่อยๆ ปรับปรุงไปเรื่อยๆ ผลที่สุด สิ่งที่ขาดตกบกพร่อง มันก็เต็มตื้นขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้"
เป็นคน.. ให้รู้จัก ให้ความสุข แก่ตน เป็นคน..ให้รู้จัก ให้ความสุข แก่ผู้อื่น สมาธิเป็นต้น เป็นคนหมั่น หมั่นในการกระทำ ว่า..ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำผิดได้ผิด ทำถูกได้ถูก ภาวนา..คือตัวปัญญาของเรา พิจารณาด้วยปัญญาของเรา พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่า..ร่างกายของเรานี้ คือ..ธรรมชาติ ว่า..ไม่ได้เป็นไปตามปราถนาของเรา พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
|