ตโจ ตโจคือหนังหุ้มห่อ หนังหญิง หนังชาย หนังสัตว์ หนังบุคคล หุ้มห่อและมิดตัว หลงกันทั้งนั้น หมาก็หลงหมา คนก็หลงคน สัตว์หลงสัตว์ทั่ว ๆ ไป หญิงหลงหญิง หลงชาย หลงกันไปหมด เพราะหนังบาง ๆ ไม่ได้หนาเท่าใบลานเลย เป็นหนังกำพร้า นี้ละมันปิด ไม่มีใครดู ไม่มีใครสนใจ จึงไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ที่มันปิดอยู่ แล้วจึงมืดมิดปิดตาตลอดกันทั่วโลกดินแดน พระพุทธเจ้าจึงได้นำอาวุธนี้ออกมาให้เปิดสำหรับพระผู้บวชเพื่อความพ้นทุกข์ ให้กำหนดกรรมฐานห้านี้ในเบื้องต้นก่อน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เพราะตโจนี้คือหนังหุ้มร่างกายของหญิง ของชาย สัตว์ บุคคล เปิดอันนี้ออกไป ลักษณะมันจะมีแปลกต่างขึ้นทันที พอเอาหนังนี้ออกมีแต่เนื้อดูกันได้ยังไง ดูหนังแล้วก็ดูเนื้อ และเอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า ดูตลอดทั่วถึง นี่คลี่คลายเข้าไป ท่านเรียกว่าปัญญา พินิจพิจารณาสิ่งเหล่านี้ •หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน•
" ...พากันจำให้ดีนะ ความดีเท่านั้น ที่จะต้านทานความชั่ว ความทุกข์ ความทรมานทั้งหลายได้ ไม่ว่าภพนี้ ภพหน้า ภพไหนก็ตาม มีความดีเท่านั้น ที่จะถอดตัวของเรา หรือถอนตัวของเรา ออกจากกองทุกข์ได้ นอกนั้นไม่มี... " -:- หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน -:-
“...ไปวัดนั้นว่าเป็นอย่างนั้น ไปวัดนี้ว่าเป็นอย่างนี้ ไปดูพระองค์นั้นเป็นอย่างนั้น พระองค์นี้เป็นอย่างนี้ ตัวเองเป็นอย่างไรไม่คิดบ้างเลย มันได้ประโยชน์อะไร ไปหาดูแต่นอกๆ ไม่สนใจดูตัวเอง เท้าสะดุดรากไม้ หัวตอ อยู่ตลอดเวลา จนล้มลุกคลุกคลาน ไม่ดูเท้าที่สะดุด ดูแต่ต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศโน่น อวกาศโน่น แต่หัวตอ..ที่จะให้โดนสะดุดหัวแม่เท้าอยู่ ไม่สนใจดู ความผิดมันอยู่กับเจ้าของ ไม่ได้อยู่ที่รากไม้หัวตอ จึงควรดูเจ้าของ มากกว่าดูสิ่งอื่นใด...” -:- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ -:-
ถ้าพิจารณาดีๆ ก็จะรู้ว่าอันนั้นเกิดมาแล้วก็ดับไป อันนี้เกิดมาแล้วก็ดับไป มีแต่สัญญาเท่านั้น เอาเรื่องใหม่มาพิจารณาเป็นลูกโซ่ เอาคืนเป็นคืน วันเป็นวัน อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ เรื่องการละวางมันวางไปหมดนะ เพราะมันได้แยกแล้ว แยกกิเลสกับธรรมแล้ว แต่พวกเรานี่ มีแต่พากันตะครุบเงา หลงเงาตัวเอง นั่งเข้าๆ เวทนามากก็นอนเลย กรนครอกๆ กิเลสมันไชโยนะ เพราะมันชนะ เดินจงกรมเหมือนกัน ส่งจิตออก แล้วก็ยังจะมาอวด ว่าตัวเองทำความเพียร ครูบาอาจารย์ท่านทำจริงนะ มาทำเล่นๆ ไม่ได้ ถ้าจะเอาตัวเองก็ต้องทำ .................................................................................... หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
ถ้าหากว่าถึงจะมีอายุยืนนานตั้งร้อยปี แต่ใช้ชีวิตให้เป็นโมฆะชีวิตคือชีวิตเปล่า ให้เป็นทุชีวิตะคือชีวิตชั่ว ก็ไม่ประเสริฐอะไร เพราะเมื่อเป็นชีวิตเปล่า อายุยืนไปเท่าไหร่ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร และยิ่งซ้ำร้ายใช้ชีวิตชั่วร้าย ยิ่งมีชีวิตยืนนานก็เป็นโอกาสให้ยิ่งประกอบความชั่วร้ายมากขึ้น สร้างบาปอกุศลธรรมมากขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้บังเกิดขึ้นแก่ตนเองและผู้อื่นยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเราทำความดีในวันหนึ่งๆ ปฏิบัติเจริญศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญาในวันหนึ่งๆ อยู่ทุกวัน จะตายวันไหนก็ดีทั้งนั้น ประเสริฐทั้งนั้น ประเสริฐกว่าคนที่มีอายุยืนๆ ตั้งร้อยแต่ว่าไม่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ หรือซ้ำร้ายกลับใช้ชีวิตกระทำความชั่วร้ายดังกล่าว
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก "พรสำคัญของชีวิต"
|