นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 2:46 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 08 ธ.ค. 2015 5:11 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
"..ผู้ใดไม่เห็นทุกข์ ผู้นั้นคือผู้ไม่เห็นธรรม
ผู้ได้รับทุกข์ จนเหลือที่จะอดกลั้นแล้ว
เมื่อหวนกลับเข้ามาถึงตัว นั่นแล
จึงจะรู้จักว่าทุกข์นั้นแล คือ ธรรม
ผู้เกลียดทุกข์เป็นผู้แพ้
ผู้พิจารณาทุกข์ คือ ผู้เจริญในทางธรรม.."
..............................
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี



"...ศีลหรือศีลกถา คนเราทั้งหลายนี้จะเป็นคนดีมีคุณค่า จะสวยจะงามท่านกล่าวว่า ต้องมีศีล ถ้าขาดจากศีลแล้วจะเป็นคนดีไม่ได้ จะมีคุณมีค่าไม่ได้ จะสวยจะงามไม่ได้ อันนี้ว่าสวยว่างามตามธรรมะ เราของเรามีคุณค่า
และมนุษย์เราทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมเป็นไปตามกรรม มีกรรมเป็นของของตนเหมือนกันทุกคน กรรม คือ การกระทำ ใครกระทำอย่างใดก็ได้รับผลอย่างนั้น
กรรมที่ทำแล้วย่อมให้ผลที่ผู้ทำ ย่อมได้รับและเสวยผลของกรรมนั้น ใครจะหนีเร้นหรือแบ่งปันคนอื่นไม่ได้ ผู้ที่กระทำนั้นแหละจะเป็นผู้ได้รับ
จะร้ายจะดีจะ สุขหรือทุกข์ ย่อมเกิดมาแต่กรรม ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม..."
..............................
โอวาทธรรมคำสอน..
ครูบาพรหมา พรหมจักโก
วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน


ดวงใจอันเดียวนี้แหละ‬ มันเป็นได้ทั้งรู้ มันเป็นได้ทั้งหลง เมื่อปล่อยให้มันหลงใหลไปตามรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์

แล้วใจอันนี้ จิตอันนี้ มันก็หลงมากระทั่งวัน กระทั่งคืน

ตลอดตั้งแต่เกิดจนแก่ ตั้งแต่แก่จนตาย
หลงใหลมาอย่างนี้ นับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว
เมื่อภาวนาทำความเพียร เพียรแผดเผากิเลสในหัวใจอันนี้ให้มันเบาบางหมดสิ้นไป ก็คือว่าเพียรเพ่งอยู่จำเพาะดวงจิตอันนี้

เตือนบอกดวงจิต ดวงที่มีความรู้สึกอยู่ภายในนี้ว่า
นอกจากจิตที่รู้อยู่ ตั้งอยู่ในขณะปัจจุบันนี้ออกไป
จะเป็นอดีต อนาคต ร้ายดีอย่างไร ไม่ต้องไปสนใจ เพราะไม่เที่ยงทั้งหมดไม่มีอะไรที่เป็นของเที่ยงมั่นถาวรอยู่ได้เลยในโลกนี้ เป็นทุกข์เปล่าๆนอกจากที่รู้อยู่นี้เป็นทุกข์ นอกจากที่รู้อยู่นี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา

แม้ที่รู้อยู่นี้ก็ยังไม่แน่เพราะยังมีอาสวกิเลสต่างๆ ห่อหุ้มเต็มดาษดื่นอยู่จำเป็นต้องทำความเพียรแผดเผากิเลสในที่นี้บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ในที่นี้
ในดวงจิตที่มีความรู้อยู่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เวลานี้

คอยระวังเสียงเข้ามาทางหู อย่าได้ไปตามมัน
รูปผ่านทางสายตา อย่าได้ตามมันไป
กลิ่นมาทางจมูก อย่าได้หลง
รสอาหารผ่านลิ้น อย่าได้หลงไป
เย็นร้อนอ่อนแข็งมาทางผิวกาย อย่าได้หลงไป
ความนึกคิดปรุงแต่งดีชั่วประการใด อย่าได้หลงไปตามอาการเหล่านั้น

ทำไมพระองค์จึงไม่ให้หลง พระองค์ให้รู้
ท่านว่าให้รู้อยู่หนึ่ง เดี๋ยวนี้
ท่านทั้งหลายรู้ไปรู้มาพอแรงแล้ว รู้ไปโน้น รู้ไปนี้
จะเอาอย่างโน้น จะเอาอย่างนี้
มันได้อะไร ก็ได้แต่ชาติ ชรา มรณะ
ตายเกิด ตายเกิด ตายอยู่ในโลกนี้ เห็นไหม
เพราะทุกคนเกิดตาย เกิดตาย อยู่เหมือนกับเสียง ตั้งขึ้นก็ดับไป

รูปตั้งขึ้นมันก็ดับไป มีความเกิดขึ้นที่ไหน ย่อมมีความดับไปในที่นั้น

ท่านให้รู้ธาตุรู้อันนั้น
มันเป็นคำบอกคำสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย

เมื่อท่านเตือนว่าท่านให้รู้ จิตของผู้ใด ผู้นั้นก็ให้รู้สึกตัวอย่าไปมัวเมาตามอารมณ์ของจิต ตามสังขารของจิต ตามตัณหาของจิต

ตัณหา ท่านว่ากามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
คือตัณหาอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด

มันมีอยู่ในดวงใจนั่นแหละ
ที่จะเลิกได้ ละได้ อยู่ที่ความเพียรเพ่งอยู่
ความเพียรเพ่งอยู่ไม่หลงใหลไปตามตัณหาทั้งหลาย
แผดเผาตัณหาเหล่านี้ให้หมดไป สิ้นไป
ก็คือว่าไม่ตามตัณหา ความอยาก ความปรารถนา

อันบังเกิดในดวงจิตดวงใจนั่นเอง
มันจะมีความดิ้นรนวุ่นวายไปตามตัณหาอย่างใดก็ตาม
ให้สงบอยู่ ให้รู้อยู่ ให้แจ่มแจ้งอยู่ ณ ภายในดวงใจ

ท่านให้เห็นแจ้งลงไปในใจอันนี้
แล้วก็นอกใจออกไปก็ให้เห็นแจ้งในทุกสิ่ง

มันไม่มีอะไรเที่ยงมั่นถาวรอยู่อย่างนั้นตลอดไป ไม่มีเลยแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นสุขกายสบายใจตลอดเวลา ไม่มีเลย

มีแต่ทุกข์นั่นแหละ นั่งเป็นทุกข์ในนั่ง นอนเป็นทุกข์ในนอนยืนเป็นทุกข์ในยืน เดินไปมาเป็นทุกข์ในการเดินไปมาพูดจาปราศรัย แสดงธรรม มันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นสุขที่เราสมมุติว่าอันนั้นเป็นสุข อันนี้เป็นสุข ไม่จริงทั้งนั้น

ถ้ามันสุขจริง ตายแล้วทำไมมันมาเกิด
มันไม่มีหรอกเรื่องสุข สุขนั้นมันเป็นความหลงของปุถุชนคนใบ้

พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเห็นว่าเป็นเรื่องของความทุกข์เป็นเรื่องของความไม่รู้ต่างหาก


แต่ว่าให้เข้าใจว่า‬ อะไรที่มันเกิดมีในใจของเรานั้นนะ เรื่องปิดไม่อยู่ทั้งนั้นแหละ เรื่องมันจะผิดมันก็ปิดไม่ได้ เรื่องมันจะถูกมันก็ปิดไม่ได้ เรื่องมันจะดีก็ปิดไม่ได้ จะชั่วมันก็ปิดของมันไม่ได้ คือมันเปิดมันเอง มันปิดมันเอง มันมีมันเอง เป็นมันเอง มันเป็นอัตโนมัติอยู่ทุกอย่างละ มันเป็นเรื่องอย่างนี้ อย่าคาดเอา อย่าคะเนเอา อย่าเดาเอา
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อะไรมันเป็นอวิชชามันไม่หมด องคมนตรีเคยถามผม “หลวงพ่อพระอนาคามี . . . จิตเป็นประภัสสรหรือเปล่า?”
เราตอบว่า “เป็นบ้าง” ถาม “เอ้า พระอนาคามีท่านละกามได้แล้ว ทำไมจิตไม่เป็นประภัสสร?
ตอบ “ท่านละกามได้ แต่ว่ามีเหลืออยู่ใช่ไหม อวิชชาโมหะเหลืออยู่ อะไรที่มันเหลืออยู่ นั่นแหละมันยังมีอยู่”
ก็เหมือนบาตรของเรานั่นแหละ บาตรขนาดใหญ่อย่างใหญ่ บาตรขนาดใหญ่อย่างกลาง บาตรขนาดใหญ่อย่างเล็ก บาตรขนาดกลางอย่างใหญ่ บาตรขนาดกลางอย่างกลาง บาตรขนาดกลางอย่างเล็ก บาตรขนาดเล็กอย่างใหญ่ บาตรขนาดเล็กอย่างกลาง บาตรขนาดเล็กอย่างเล็ก มันจะเล็กเท่าไรก็ช่างมันเถอะ ยังมีบาตรอยู่ นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ อย่างว่า โสดา สกิทาคา อนาคา ละกิเลสได้แล้วนั้น แต่ว่ามันหมดแต่แค่นั้นนะ สิ่งที่ยังเหลืออยู่พวกนั้นมองไม่เห็น อวิชชานี่มันมองไม่เห็นอยู่นั่นแหละ ถ้าหากว่าจิตพระอนาคามีเรียบหมดแล้ว ก็ไม่ใช่อนาคา มันก็หมดสิ อันนี้มันยังเป็นอยู่ จิตเป็นประภัสสรไหม? ก็เป็นมั่งแต่มันไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ จะให้เราตอบยังไงล่ะ ท่านว่าวันหลังจะมาเรียนใหม่ เรียนก็เรียนซิ หลักมันมีอยู่แล้ว
อันนี้ก็เหมือนกัน อย่าไปประมาท. . .ระวัง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านให้ระวัง อันนี้พูดถึงเรื่องปฏิบัติเรื่องจิตของเรา ผมก็เคยซวดเซมาหลายครั้งเหมือนกัน บางทีอยากจะทดลองหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน แต่แล้วมันไม่ถูกทางทั้งนั้นแหละ คือ มันอวดดับ อวดดีขึ้นในจิต มันเป็นมานะอันหนึ่ง ทิฏฐิความเห็น มานะความยึดไว้ มันมีอยู่นี่ พูดแต่เท่านี้มันก็ยังดูยากเหมือนกัน
นี่ผมเคยพูดให้ฟัง โยมอะไรที่มาบวชเป็นหลวงตา หอบผ้าไตรจีวรมาแล้ว จะมาบวชหน้าศพของโยมแม่ ได้ผ้าไตรจีวรก็หอบเข้ามาในวัด ยังไม่ไปกราบพระ พอวางไตรจีวรก็เดินจงกรมเลย เดินอยู่หน้าศาลานั่นแหละ เดินกลับไปกลับมา เดินอย่างเอาจริงเอาจัง “เอ คนอย่างนี้มันก็มีนะ” นี่คือ ศรัทธาอธิโมกข์ เขาคิดว่าจะให้ตะวันไม่ทันตกจะให้สำเร็จก็ไม่รู้ นึกว่ามันง่ายนะ เราก็ปล่อยให้เขาเล่นอยู่นั่นละ ไม่ต้องมองใครละ เดินเอาจริงเอาจังอย่างนั้น เรามองเห็น โอ้โอย . . . มนุษย์เอ้ย มันคิดว่าจะง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ พอดีให้อยู่ไปกี่วันก็ไม่รู้ ดูเหมือนไม่ได้บวช หรือบวชก็ไม่รู้ มันจะเป็นอะไรอย่างนั้นนะ !
พอใจมันรู้อะไรปุ๊บ ส่งออกเลย มันรู้อะไรมาปุ๊บก็ส่งออกเลย ตัวจิตสังขารมันปรุงแต่ง ก็ไม่รู้เรื่องของมัน มันก็ว่าฉันเป็นปัญญา มันปรุงแต่งแยกขยายหลายอย่าง หลายประการ ชิ้นเล็ก ชิ้นใหญ่ หลายอย่างละเอียด ก็จิตสังขารนี้มันก็คล้ายกับปัญญา ถ้าคนไม่รู้มันก็ว่าปัญญาดีๆ นี่แหละ แต่ว่าเมื่อถึงคราวมันแล้ว หาความจริงไม่มีอะไร เมื่ออารมณ์ที่ไม่พอใจเป็นทุกข์เกิดขึ้นได้ อยู่นั่นมันจะเป็นอะไร มันจะเป็นปัญญาอะไรไหม มันเป็นตัวสังขารทั้งนั้นแหละ
เรื่องจริตของเรา เรื่องอารมณ์ของเรา มันก็คล้ายกับคนๆ หนึ่งนั่นแหละ พูดง่ายๆ มันคล้ายๆ กับคนๆ หนึ่ง คนบางคนมันชอบจริต เราก็มี บางคนที่ไม่ชอบจริตของเราก็มี สิ่งที่มันเป็นมาข้างนอก มันก็เหมือนกันอย่างนั้นแหละ มันไม่แปลกอะไรสักคนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าอารมณ์นี้ ความเป็นจริงมันก็เป็นอยู่ที่เจ้าของนั่น อารมณ์นั้นมันก็ไม่มีอะไร มันเป็นสักแต่ว่าอารมณ์ เรามาคิดเอาเองหรอก ว่าเราดี เราชั่ว ว่าเราผิด ว่าเราถูกเหล่านี้ มันเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นเอง ว่าขึ้นเองผุดขึ้นมา อย่างนั้นธรรมนี้จึงเป็นเครื่องวิจารณ์วิจัยได้ยากเหลือเกิน
ผมจึงบอกว่าให้แอบไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า คือใคร ก็คือธรรมะนั่นแหละ ธรรมะในสกลโลกนี้ทั้งหมด มันมา รวมอยู่ที่ธรรมะตัวเดียว คือ อนิจจัง ลองดูซิ ใครจะเป็นนักปฏิบัติเถอะ ผมค้นมาตลอด ๒๐-๔๐ พรรษานี่ ผมเห็นเท่านั้นแหละ แล้วก็อดทน อันหนึ่ง แล้วก็เข้าใกล้ธรรมะของท่าน อนิจจังมันไม่แน่ ใจว่าแน่ขนาดไหนก็บอกว่ามันไม่แน่ ใจมันจะยึดมั่นว่ามันแน่ที่ไหนก็ว่ามันไม่แน่ มันไม่เที่ยง ดันมันอยู่อย่างนี้แหละ อาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ดับไปอยู่อย่างนี้แหละตลอดมาทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่ามันประเดี๋ยวประด๋าวนะ ยืนก็เป็นอยู่อย่างนั้น นั่งก็เป็นอยู่อย่างนั้น นอนก็เป็นอยู่อย่างนั้น ที่ไม่ชอบใจเกิดขึ้นมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันเข้าใกล้พระ เข้าใกล้ธรรมะ มันเป็นอยู่อย่างนั้น
อันนี้ผมว่ามันจะมีราคามากกว่าที่เราปฏิบัติมา เท่าที่ผมปฏิบัติมาตั้งแต่โน้นถึงขณะนี้ อาศัยอย่างนี้แหละ อาศัยตำราหรือก็ไม่ใช่ ไม่อาศัยตำราหรือก็ไม่ใช่ อาศัยครูบาอาจารย์จริงหรือก็ไม่ใช่ ไม่อาศัยครูบาอาจารย์จริงหรือก็ไม่ใช่ มันเป็นของก้ำกึ่งอยู่อย่างนี้ ถ้าพูดตามความจริงก็เรียกว่า ให้มันหมด คือทำให้มันหมด ทำให้มันเกิดขึ้นมา แล้วก็ทำให้มันหมดไป ทำให้มันมีสมมุติแล้วก็ให้มันมีวิมุตติ
ผมเคยพูดให้พระฟังสั้นๆ แต่บางคนก็อาจจะสนใจ ถ้าหากว่าคนปฏิบัติอยู่ พิจารณาอยู่เรื่อยไป ตอนปลายถึงจะรู้จัก มันจะไปลงตรงนั้นแน่นอน ไม่ไปที่ไหน ผมเคยพูดว่า รีบเดินไป แล้วก็รีบกลับมา แล้วก็รีบหยุดอยู่ นี่เบื้องแรกมันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วผลที่สุดจะเกิดความรู้สึกขึ้นในที่นั้นว่า เดินไปก็ไม่ใช่ กลับมาก็ไม่ใช่หยุดอยู่ก็ไม่ใช่ หมด มันหมดแล้ว อย่าไปหวังอะไรมากอีกแล้ว มันหมดแค่นั้นแหละ มันหมดแล้ว อย่าไปหวังอะไรมันมากอีกแล้ว มันหมดแค่นั่นแหละ มันสิ้นแล้ว ขีนาสาโว คือ สิ้นแล้ว ไม่ต้องเดิน ไม่ต้องถอย ไม่ต้องหยุด หยุดก็ไม่มี เดินก็ไม่มี ถอยก็ไม่มี หมด อันนี้ให้เอาไปพิจารณาไว้ให้มันชัดในจิตของตนเอง ตรงนั้นมันจะไม่มีอะไรจริงๆ
อันนี้มันก็ใหม่หรือเก่า มันก็เป็นกับผู้ที่มีปัญญา มีความฉลาด ผู้ที่ไม่มีปัญญา ไม่มีความฉลาดนั้นก็แก้ไม่ได้เหมือนกัน จะดูสภาพต้นไม้ก็ได้ ต้นมะม่วงก็ดี ต้นขนุนก็ดี ทุกต้น ถ้ามันเกิดแอบๆ กันอยู่นะ บางทีต้นหนึ่งมันโตกว่า ต้นเล็กมันน้อมหนีไปโน่น ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ใครไปบอกมัน นี่คือ ธรรมชาิติ ธรรมชาตินี้มันมีทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งผิดทั้งถูกนะ มันวนไปทางถูกก็ได้ วนไปทางผิดก็ได้ ต้นไม้ธรรมดาถ้าเราปลูกติด ๆ กัน แล้วก็ต้นหนึ่งมันโตก่อน ต้นที่มันโตทีหลังชอบแอบ ๆ ไปข้างนอก ทำไมมันเป็นอย่างงั้น ใครไปบอกมันไหม ใครไปแต่งมันไหม นั้นคือธรรมชาติ มันเป็นธรรมะ
อย่างตัณหา คือความอยากนำเราไปสู่ทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราพิจารณาแล้วนะ มันจะโอนออกไปจากตัณหา มันพิจารณาตัณหา มันจะเขย่าตัณหานั้น ให้หมด ให้เบาให้บางไปเอง เหมือนกับธรรมชาติ ต้นไม้ต่าง ๆ นั่นแหละ ใครไปบอกมัน ใครไปสะกิดมันไหม มันก็พูดไม่ได้ มันก็ทำไม่ได้ แต่ว่ามันออกไปได้ ตรงนี้มันคับแคบ มันไม่เกิดอะไร มันก็โอนออกไปข้างนอก ดูอย่างนี้ก็เป็นธรรมะ ไม่ต้องไปดูอะไรมากมายหรอก ผู้ที่มีปัญญานะ เท่านี้ก็รู้จักว่ามันเป็นธรรมะ
สัญชาติญาณของต้นไม้ มันไม่รู้จักอะไร แต่มันมีความรู้อยู่ในมันนั่นแหละ ทำให้วิ่งออกจากอันตรายได้ เลือกที่เหมาะสมของมันได้ ผู้มีปัญญาเราก็เหมือนกันนั่นแหละ เราบวชมาประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อหวังมันจะพ้นทุกข์ อะไรมันพาเราเป็นทุกข์ เราย่ำเข้าไปจะเห็นไหม สิ่งที่เราชอบใจ ไม่ชอบใจ นี่ก็เป็นทุกข์ มันเป็นทุกข์ก็อย่าเข้าไปใกล้มันซิ จะไปรักมันหรือ จะไปเกลียดมันหรือ มันไม่แน่ทั้งนั้น เราก็แอบเข้าหาพระก็หมด อย่าลืมอันนี้ แล้วก็อดทนอย่างหนึ่งเท่านี้แหละดีมากที่สุด ถ้าคนมีปัญญาอย่างนี้ละมันดีมาก
ความเป็นจริงตัวผมที่ได้ปฏิบัติมานี้นะ ไม่มีครูอาจารย์ขนาดพระทั้งหลายที่ผมสอนมาหรอก ไม่ค่อยมีหรอก บวชก็บวชอยู่วัดบ้านธรรมดา อยู่วัดบ้านนี่แหละ จิตมันคิดอยากจะทำ มันคิดอยากจะเป็น มันคิดอยากจะฝึก ไม่มีใครมาเทศน์ที่วัด ไม่มีใครหรอก ศรัทธามันเกิดในใจ ไปลองดู ไปพิจารณา เดินไปดู ไปหาดู หูมีก็ฟังไป ตามีก็ดูไป ทางหูได้ยินก็ว่า เออ มันไม่แน่ ทางตาเห็นก็ไม่แน่ จมูกได้กลิ่นมันก็บอกว่า อันนี้มันไม่แน่ ลิ้นมันได้รสมาเปรี้ยวหวานมันเค็ม ชอบไม่ชอบก็บอกว่าอันนี้มันก็ไม่แน่ โผฏรัฐพพะถูกต้องทางร่างกายมันสบายหรือเป็นทุกข์ ก็บอกว่าอันนี้มันก็ไม่แน่ นี่คือ เราได้อยู่ด้วยธรรมะ
ตามเป็นจริงมันไม่แน่ แต่ตัณหาของเราว่ามันแน่ ทำยังไงล่ะต้องอดทน ตัวแม่บทของมัน ก็คือ ขันติ ความอดทน ทนมันไปเถอะแต่อย่าไปทิ้งพระนะ ที่เรียกว่ามันไม่แน่น่ะอย่าไปทิ้งนะ เดินไปในสถานที่ต่างๆ ในโบสถ์ในวิหารเก่า สถาปนิกเขาทำอย่างดี บางแห่งมันร้าว ก็มีเพื่อนพูดว่า “มันน่าเสียดายนะ มันร้าวหมดนะ” ผมเลยพูดว่า “ถ้าอย่างนี้นพระพุทธเจ้าก็ไม่มีซิ ธรรมะอันจริงก็ไม่มีสิ”
ทั้งๆ ที่ตัวเราบางทีก็ยังนึกเสียดายอยู่ ที่มันร้าวอย่างนั้นนะ ก็ยังพูดให้มันเป็นประโยชน์แก่เพื่อนและแก่ตัวด้วย บางทีก็เสียดายเหมือนกันนะ แต่ก็ยังมักเข้าไปหาธรรมะ “ยังงั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่มีสิ ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นนะ” พูดแรงๆ เข้าไปให้เพื่อนได้ยิน หรือบางคนก็คงจะไม่ได้ยินหรอกไม่ได้ยิน เราก็ได้ยินของเรานั่นแหละ อันนี้มันเป็นประโยชน์ แล้วก็มีประโยชน์หลายๆ อย่างเช่นว่า เรานั่งอยู่เฉยๆ อย่างนี้ ถ้ามีเพื่อนบอก “หลวงพ่อ โยมคนนั้นว่าให้หลวงพ่ออย่างนั้นๆ พระองค์นั้นว่าให้หลวงพ่ออย่างนั้นๆ ” อย่างนี้เป็นต้น โอ๊ยมันสั่นขึ้นมานะ ได้ยินเขาว่ามันสั่นขึ้นมานี่ นี่คือ อารมณ์ เราก็ต้องรู้มันทุกระเบียดนิ้วแหละอารมณ์นะ พอมันรู้จัก บางทีมันก็ตั้งใจเหี้ยมโหดขึ้นมาในจิตของเรา แต่ก็บางทีเราไปสืบสวนเรื่องนั้นจริงๆ ก็เปล่า มันคนละเรื่องกันอีกแล้ว มันเลยไม่แน่ไปอีกแล้ว แล้วจะเชื่ออะไรมันทำไม เราจะเชื่อคนอื่นอะไรมากมายทำไม เราก็รู้ ก็ฟัง อดทน พิจารณา มันก็ไปตรงเท่านั้นแหละ
ไม่ใช่ว่ามีอะไรก็เขียนออก เขียนออก เขียนออกทั้งนั้น จนมันหมดคำพูดที่ปราศจากอนิจจัง คำพูดอันนั้นไม่ใช่คำพูดของนักปราชญ์ นี่จำไว้ ตัวเราเองถ้าไปทิ้งอนิจจังเสียก็ไม่ใช่นักปราชญ์เหมือนกัน ไม่ใช่นักปฏิบัติ ถ้าเห็นอารมณ์ ได้ยินอารมณ์ พบประสบอะไรมากมายขึ้นมา มันจะเป็นเหตุให้เพลินใจก็ตาม เป็นเหตุให้เศร้าใจก็ตาม ก็ว่า “อันนี้มันไม่แน่” ทำให้มันแรงๆ เข้าไปเถอะ จับมันตอนเดียวเท่านี้แหละ อย่าไปเอาอะไรมันมาก เอาอันเดียวนี่แหละ จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญ จุดตายด้วยนะนี่ . . . นี่คือจุดตาย นักปฏิบัติอย่าไปทิ้งมัน ถ้าทิ้งอันนี้หวังได้ว่ามีทุกข์ หวังได้ว่าผิดเป็นประมาณเทียว ถ้าไม่เอาอันนี้เป็นหลักปฏิบัติของตนแล้วเชื่อแน่ว่ามันผิด เพราะหลักนี้มันดีมาก นี่ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ว่าธรรมะที่แท้จริง คือ พูดขึ้นในวันนี้มันก็เท่านี้ มันไม่มีอะไรมาก เห็นอะไรก็เห็นสักว่า รูป เทวนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สักว่ารูป สักว่าเวทนา สักว่าสังขาร สักว่าวิญญาณ มันเป็นของสักว่าเท่านั้นแหละ มันจะแน่นอนอะไรเล่า
ถ้าเรามารู้เรื่องตามเป็นจริงเช่นนี้แล้ว มันก็คลายความกำหนัดคลายความรักใคร่ คลายความยึดมั่น คลายความถือมั่น ทำไมถึงคลายเพราะมันเข้าใจ เพราะมันรู้ มันเปลี่ยนออกจากอวิชชา มันก็เปลี่ยนออกมาจากนั้นแหละ ตัววิชานี้แหละ . . .มันคลอดออกจากอวิชา . . . มาเป็นตัววิชาขึ้น ตัวรู้นี่มันจะคลอดออกจากความไม่รู้ ตัวสะอาดนี่มันคลอดออกจากความสกปรก มันเป็นไปอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทิ้งอนิจจัง คือพระนี่ที่เรียกว่าพระพุทธองค์นั้นยังอยู่ ที่ว่าพระพุทธองค์ของเรานิพพานแล้วนะ อย่างหนึ่งก็ไม่ใช่ ถ้าเป็นส่วนลึกเข้าไปนะ พระพุทธเจ้ายังอยู่
ก็เหมือนกันกับคำว่า ภิกขุ ถ้าแปลว่า ผู้ขอแล้ว มันก็กว้าง เอามาใช้ได้เหมือนกัน แต่ว่าใช้มากก็ผิดนะ คือมันขอเรื่อยๆ นี่ ถ้าเราพูดไปให้ซึ้งดีกว่านั้นอีกคือ ภิกขุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในสงสาร มันซึ้งไหมล่ะ. . .เอ้อ มันไม่ไปในรูปนั้นเสีย มันซึ้งกว่ากันอย่างนั้น การปฏิบัติธรรมะมันก็อย่างนั้น เข้าใจในธรรมะไม่ทั่วถึงมันก็เป็นอย่างหนึ่ง ธรรมะเข้าไปทั่วถึงมันก็เป็นอย่างหนึ่ง มันมีคุณค่ามากที่สุด
อันนี้เราให้มันอิ่มอยู่ด้วยธรรมะ ถ้าเรามีสติอยู่เมื่อไร เราก็อยู่ใกล้ธรรมะเมื่อนั้น ถ้าเรามีสติอยู่เราก็เห็นอนิจจังของไม่เที่ยงอยู่ตราบนั้น เมื่อเราเห็นของไม่เที่ยงอยู่ตราบใด เราก็เห็นพระพุทธเจ้าตราบนั้น แล้วเราจะพ้นความทุกข์ในวัฎสงสารมิวันใดก็วันหนึ่ง ถ้าเราไปทิ้งคุณพระไปทิ้งพระพุทธเจ้าหรือไปทิ้งธรรมะอันนี้ มันก็เปล่าจากประโยชน์ที่เราทำอยู่ อย่างไรก็ต้องติดตามเรื่องการปฏิบัติของเราอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำงานอะไรอยู่ เราจะนั่งหรือจะนอนอยู่ ตาจะเห็นรูป หูจะฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส โผฏฐัพพะถูกต้องทางกายสารพัดอย่าง อย่าไปทิ้งพระ อย่าห่างจากพระ
นี่ก็เรียกว่าผู้ที่เข้าถึงพระ ได้ไหว้พระอยู่ทุกเวลา ตอนเช้าเราก็ไปไหว้อะระหังสัมมาสัมพุทโธภควา ก็จริงอยู่ แต่ว่ามันจะไหว้ไม่มีความหมายถึงขนาดนี้ มันจะเหมือนกันกับคำว่าภิกขุนั่นแหละ แปลว่าผู้ขอ ก็ขอเรื่อยไปก็เพราะแปลอย่างนั้น ถ้าหากแปลอย่างดีที่สุด ภิกขุก็แปลว่า ผู้เห็นภัยในสงสาร อย่างนี้ก็เหมือนกัน อย่างแบบเราทำวัตรสวดมนต์ตอนเช้า - ตอนเย็นไหว้พระอย่างนี้ มันก็จะเทียบได้ว่าภิกขุ ผู้ขอ ถ้าเราเข้าไปใกล้ชิดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ทุกเวลา เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรสอยู่ มันจะเทียบกับศัพท์ที่ว่า ภิกขุผู้เห็นภัยในสงสาร คือมันซึ้งกว่ากันอย่างนี้ แล้วก็มันตัดหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง ถ้ามันเห็นธรรมะอันนี้แล้ว มันจะมีความรู้มีปัญญา ต่อไปเรื่อย
อันนี้เรียกว่า ปฏิปทา ให้มีความรู้สึกอย่างนี้ในการประพฤติปฏิบัติของเรา มันจะมีความถูกต้องดีกว่า ถ้าคิดเช่นนี้พิจารณาเช่นนี้อยู่ในใจ ถึงแม้ว่ามันไกลจากครูบาอาจารย์ มันก็ยังใกล้ครูบาอาจารย์อยู่นั่นแหละ ถ้าหากว่าคนเราอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์แต่ร่างกายของเรา แต่จิตใจมันไม่เข้าถึง มันอยู่ไปก็เพ่งโทษครูบาอาจารย์ สรรเสริญครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ทำถูกใจ . . .เราก็ว่าท่านดี ถ้าทำไม่ถูกใจเราก็ว่าไม่ดี ก็ไปปฏิบัติอยู่แค่นั้นแหละ ไม่เห็นมันได้อะไร ไปมองดูคนอื่นว่าคนนั้นดี คนนั้นไม่ดีอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เห็นมันได้อะไรมากมาย ถ้าเราเข้าใจในธรรมะข้อนี้ เราจะเป็นพระขึ้นเดี๋ยวนี้แหละ
มิฉะนั้นเหตุผลที่ว่า ผมห่างไกลจากลูกศิษย์ปีนี้ พรรษานี้ ทั้งพระเก่า พระใหม่ พระนวกะ ไม่ค่อยให้ความรู้ความเห็น ก็เพื่อให้พิจารณาเอาเองให้มันมากนั่นเอง พระใหม่ที่จะเข้ามา ผมบอกข้อกฎอยู่หมดแล้วว่า อย่าไปคุยกัน อย่าไปฝ่าฝืนข้อกติกาที่ทำไว้แล้วนั่นนะ คือ ทางมรรค-ผล-นิพพาน นั่นแหละ ถ้าใครไปฝ่าฝืนข้อกติกาอยู่มันก็ไม่ใช่พระ ไม่ใช่คนตั้งใจมาปฏิบัติเท่านั้นแหละ มันจะเห็นอะไร ถึงแม้จะนอนอยู่กับผมทุกคืนทุกวัน ก็ไม่เห็นหรอก จะนอนอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าหรอก ไม่ได้ปฏิบัติ เท่านี้แหละ
•หลวงพ่อชา สุภัทโท•


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 169 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO