นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 7:35 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 11 ธ.ค. 2015 7:41 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
"..ในโลกมนุษย์นี้ เราจะหลบหนีจากคำตำหนิติเตียนไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ซึ่งเป็นจอมปราชญ์ทั้งหลาย ก็ยังถูกโลกติเตียนอยู่
พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า.. นัตถิ โลเก อนินทิโต แปลใจความว่า.. คนที่ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก เราจะให้สัตว์โลกปราศจากสิ่งดังกล่าวไม่ได้
เพราะฉะนั้น..เราผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ก็อย่าพากันไปเอาเรื่องของโลก มาเป็นอารมณ์ของใจ จะทำให้จิตใจของเรามัวหมอง.."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่คำดี ปภาโส



"....ควรระลึกถึงป่าช้าคือความตายบ้าง

เพราะกรรมกับป่าช้าอยู่ด้วยกัน

ถ้าระลึกถึงป่าช้าในขณะเดียวกันได้ระลึกถึงกรรมด้วย

อย่าอวดตัวว่าเก่งทั้ง ๆ ที่ไม่เหนืออำนาจของกรรม

ไม่ควรอวดตัวว่าเก่งกว่าศาสดา

สุดท้ายก็จนมุมของกรรมคือความเก่งของตัว..."

~หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต~




เรื่องจริงจาก
วัดหนองป่าพง

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้ เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อชาที่วัดหนองป่าพง พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า ทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก ต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์ กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลังจากทำวัตรเย็นที่โบสถ์เสร็จ หลวงพ่อชาท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน ให้พระหนุ่ม สามเณรน้อย ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ ใกล้ๆ แล้วกล่าวว่า

"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่น ไป มาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้ อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ท่านเห็นไหมว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม? มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบาย มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น

ความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน"

พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือ ความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่องของเจ้าของเอง ไปอยู่วัดหนองป่าพงก็ไม่สบาย ไปอยู่อเมริกาก็ไม่สบาย ไปอยู่กรุงลอนดอนก็ไม่สบาย ไปอยู่วัดป่าบุ่งหวายก็ไม่สบาย ไปอยู่ทุก ๆ สาขาก็ไม่สบาย ที่ไหนก็ไม่สบาย

นี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อย ๆ แล้วผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อย เพราะธรรมตรงนี้มันเป็นประโยชน์มาก"
หลังจากนั้นหลวงพ่อชาก็นำนั่งสมาธิ ถือเนสัชชิกตลอดทั้งคืน

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขา เพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว ท่านก็ยังไม่ยอมสึก

อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษาโยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้ว ก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่า คำว่า หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชาย หมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

********
อาจารย์สิริปันโน
(Ajahn Siripanno)
ชื่อเดิมVen Siripanyo
ลูกชายคนเดียวของ
มหาเศรษฐี ที อนันดากรีชมัน
เศรษฐีอันดับ2ของAsia
และอันดับ89ของโลก
จบจากอังกฤษ
พูดได้8ภาษา
บวชมาแล้ว18ปี
ปฏิเสธการรับมรดก9,500ล้านเหรียญUSหรือ285,000ล้านบาท
อยากสนทนาธรรม
กับท่านเชิญที่
วัดหนองป่าพง
อ.วารินชำราบ
จ.อุบลราชธานี





แรงกรรม แรงบุญ

“...เมื่อถึงเวลา บุญกุศลโยมพร้อม ไม่มีอะไรมาต้านทานได้
จำไว้นะ!...แรงกรรม แรงบุญ สองอย่างนี้ เมื่อให้ผลไม่มีอะไร้ตานทาน

...เมื่อแรงกรรมให้ผล บุญที่ทำไว้ก็ต้านไม่ได้
เช่นเดียวกับบุญ ถ้ามันถึงพร้อมแล้วด้วยองค์สาม
เมื่อพระพุทธเกิด พระธรรมเกิด พระสงฆ์เกิด
ก็ไม่มีอะไรต้านทานได้...”

คติธรรมคำสอน...สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี




“ ดวงจิตคือดวงธรรม ดวงธรรมคือตัวรู้ ตัวรู้คือปัญญา ”

ถาม : หลวงปู่เจ้าค่ะ เวลาเราตื่นนอน จะสังเกตได้ว่าบางวันจิตสดชื่นมาก แต่บางวันจิตก็หดหู่ นี้เกิดจากอะไรเจ้าค่ะ

หลวงปู่ตอบ : เกิดจากจิตดวงสุดท้ายที่โยมจะหลับไป เข้าใจไหมจ๊ะ เพราะว่าจิตนั้นมันไม่มีความเที่ยง ถ้าจิตโยมมีการเจริญภาวนาจิต มีการแผ่เมตตาแล้ว แม้โยมตื่นมา เรียกว่า “ ตื่นก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข ตายก็เป็นสุข ” ถ้าในขณะหนึ่งขณะใดจิตโยมมีกังวล มีวิตกแต่ไม่ได้วิจารณ์มันออกไป คือดับเหตุนั้นไม่ได้ มันก็เข้าไปสิงสู่ในจิตวิญญาณ ในมโนทวาร โยมก็ไปฝันไปปรุงแต่ง จิตนั้นก็เรียกว่าเศร้าหมอง ตื่นขึ้นมาก็เพลีย หดหู่ใจ ใจไปทำงานในขณะจอดเครื่อง จอดถึงที่แล้วไม่ดับเครื่อง โยมว่ามันจะกินเชื้อเพลิงไหมจ๊ะ เช่นเดียวแบบนั้น...

ต้องวางอารมณ์ ดับอารมณ์ให้หมด เพราะเราจะตายแล้ว โยมจะเอาอะไรจ๊ะ การหลับนอนเขาเรียกตายเทียมใช่ไหมจ๊ะ นั่นคือการฝึกตายก่อนตาย แต่โยมไม่ปล่อยวางอารมณ์ มันก็เข้าไปสิงสู่ในอารมณ์ มันมีสังขารปรุงแต่งได้ เพราะจิตมันไม่หลับนี่จ๊ะ ดังนั้นตัวสติตามรู้นี้ จึงสำคัญนัก เพราะเอาจิตนั้นแลเมื่อไม่มีกายสังขาร ก็สามารถพิจารณาธรรมได้ “ ดวงจิตคือดวงธรรม ดวงธรรมคือตัวรู้ ตัวรู้คือปัญญา ” เข้าใจไหมจ๊ะ มันก็จะสอนด้วยตัวมันเอง แต่ถ้ามันจะสอนได้ มันต้องเอาไปสอนกายก่อน เพราะมนุษย์มีกายเป็นที่ยึดติด จึงต้องไปเรียนรู้จากกาย เมื่อไปเรียนรู้จากกาย น้อมกายเข้ามาหาจิต เมื่อนั้นแล เมื่อทิ้งกาย ก็รู้จิต จิตที่ฝึกดีแล้ว ตัวรู้มันก็มี ตัวปัญญามันก็มี ตานี้มันก็จะสอนด้วยตัวมันเอง มันก็ไม่ต้องอาศัยกายแล้ว เป็นอิสระแล้ว แต่ก่อนที่จะเป็นอิสระ ได้ประโยชน์กับสิ่งนั้นหรือยัง เข้าใจไหมจ๊ะ...

จิตดวงสุดท้ายที่จะไป แม้กายหลับก็ดี ต้องมีสติ ไม่มีอาฆาตพยาบาทและไม่มีความเศร้าหมอง นั่นคือมีเชื้อ มันก็เข้าไปต่อเชื้อข้างใน แม้หลับมันก็เข้าไปปรุงแต่งได้ จึงเรียกว่านิมิต นิมิตมันเกิดจากไหน ก็เกิดจากจิตนั้น เข้าใจไหมจ๊ะ เพราะว่างมันมีกระแสแห่งเชื้ออารมณ์อยู่ เมื่อไปใส่เข้าไปมันก็เกิดฝัน ฝันดี ฝันร้ายมันเกิดจากไหนก็เกิดจากเชื้อกระแห่งจิตที่มีอกุศล ดังนั้นโยมต้องเจริญจิตภาวนาแผ่เมตตา แล้วก็ปล่อยวาง อธิษฐานจิต เมื่อนั้นแล เมื่อใครภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ดี เรียกว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งสรณะ ย่อมตื่นไม่มีสะดุ้งผวา เข้าใจไหมจ๊ะ ตื่นมาดวงพระเนตรย่อมสดใสเหมือนตาวัว ตาหน้าก็มีราศี...

เทศนาธรรมของ...สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี



ฝึกให้จิตอยู่กับตัวเอง รู้สึกตัวไป ดูขันธ์มันแยก ขันธ์มันแยกแล้วก็เห็นขันธ์มันทำงาน ดูขันธ์มันทำงานถ้าเห็นจิตมันทำงานได้ยิ่งดีที่สุด กุศล,อกุศล,มรรคผลเกิดที่จิตที่เดียว ดูจิตดูใจไม่ได้ก็ดูกาย ดูไม่รู้เรื่อง ดูจิตก็ไม่ได้ดูกายก็ไม่ได้ กลับมาทำความสงบ พื้นฐานก็ถือศีล ๕ แค่นี้เอง วนไปวนมา ง่าย ๆ ไม่ยากหรอก อยู่ที่ทนเอา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี



ทำไมต้องมีศีล มีสติ ?

หากเมื่อใดจิต ที่ไร้สติกำกับควบคุม ปล่อยทิ้งละเลยไม่มีการดูแล สิ่งที่เปนมิจฉามารที่จ้องจับจองยึดครองอยู่เปนทุนอยู่แล้วจักควบคุมจิตที่ไร้สตินี้ให้ ดำดิ่งสู่ห้วงมืด ความมืดบอดแห่งจิตที่เปนทาส ไม่มีอะไรดี มีแต่ลงที่ต่ำลงไป เวียนมาเพื่อทุกข์ร่ำไปไร้ที่จบ ...

จิตเก็บกักได้เพียงทุกข์ เพียงบาป เพียงบุญเท่านี้หรือ ?

คำตอบก็สอดคล้องกับคำถามแรก ที่จิตสามารถเก็บเอาบุญบาปสุขทุกข์ไว้ ก็สามารถ น้อมเอาศีล น้อมเอาสติมาขนาบจิตได้เช่นกัน เพื่อเปนไปในการขนถ่าย มิจฉามาร ความมืดบอดให้จิตสว่างสไว ไม่เก็บงำซึ่งกรรมใดไว้ ให้จิตเศร้าหมองได้ ...

.. ว่างเปล่าดาย ไร้ตัวตน ไร้เชื้อ ไร้ทุกข์ ไร้แดนเกิดเเห่งทุกข์ทั้งปวง .. นั่นแล ..


"การผูกเวรกันนำมาซึ่งทุกข์ไม่จบไม่สิ้น
แต่เวรระงับได้ด้วยการอโหสิกรรม
เวรก็จะระงับกันไป"
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO