ทุกๆ อย่างที่ยึดถือว่าเป็นของเรานั้น แม้ว่าจะมีสิทธิอยู่ แต่ก็เป็นสิทธิชั่วคราวเท่านั้น ไม่เป็นสิทธิที่แท้จริง เพราะถ้าเป็นสิทธิที่แท้จริงแล้ว ก็จะต้องไม่มีความพลัดพราก...
(สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ)
อานิสงส์ของ "สัจจะ"
บ้านตาแป๊ะแก่คนหนึ่ง... อยู่กัน ๒ คน นัดหมายกันนั่งชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมง เวลานั่งแล้วใครจะเรียกใครจะมาหาไม่สนใจไม่ต้องฟังเสียงถ้านาฬิกาไม่กริ๊ง! ไม่เลิก!
ก็ตั้งสัจจะไว้ พระที่คล้องคอก็ไม่มี เมียนั่งโน้นผัวนั่งนี่บ้านนั้นมีเครื่องลายครามเยอะ พอดีรถปิคอัพเข้ามา ขโมยปล้นมีเอ็ม ๑๖ ก็ยิงไม่ออก! แต่ยิงโด่งออกแล้วโจรก็มาคลำดูที่คอ ๒ คนก็ภาวนาพองหนอ - ยุบหนอ
เป็นเรื่องอัศจรรย์มันจะมาฆ่าตาแป๊ะคนนี้ เครื่องลายคราม ข้าวของเงินทอง มันก็ขนใส่รถหมด ยายซิ้มพองหนอ - ยุบหนอ - คิดหนอ ขโมยก็ขึ้นรถไป
ร้อนถึงจักรินเทวราชสั่งมาตุลีเทพบุตรทำให้สารวัตรเกิดสังหรณ์ใจจึงสั่งลูกน้องเข้าไปในตรอกนี้ซิก็สวนกับรถขโมยพอดีเลย
พอสวนรถขโมยมันเปิดไฟเห็นตำรวจมันก็โดด ตำรวจโดดตามจึงจับได้หมด จึงถามว่าเอามาจากบ้านใคร?
โจรบอกกับตำรวจว่าเอามาจากบ้านตาแป๊ะนี่ จึงถอยรถขนของกลับไป พอรถขโมยไปจอด รถสารวัตรไปจอด ๒ คนนั่งพองหนอ - ยุบหนอ ยังไม่ออกจากกรรมฐานเลย
ตำรวจก็ปลุก... ตาแป๊ะไม่ลุก! สักประเดี๋ยวนาฬิกากริ่ง!
ตำรวจบอกว่าไอ้ผู้ร้ายเอาปืนยิงไม่ออกคลำที่คอบอกว่าไม่มีพระเครื่องไม่มีเครื่องรางของขลัง นี่โดนปล้นรู้ไหม?
ตาแป๊ะบอกรู้แต่กำหนดได้รู้นะไม่ใช่ไม่รู้ รู้เลยอยากได้เอาไป รู้หนอๆ พองหนอ - ยุบหนอ อยากได้เอาไป ถ้าเป็นของลื้อ ลื้อเอาไป
ในที่สุดก็ได้ของคืนหมด... บอกตำรวจว่าไม่เอาเรื่องเอาความ อโหสิกรรมให้แล้วพวกขโมยก็มากราบตาแป๊ะ กราบยายซิ้ม
ตำรวจถามว่าเป็นยังไงถึงยิงไม่ออก มีพระอะไร ตาแป๊ะบอกมีพระพองหนอ - พระยุบหนอ ลื้อเอาไปใช้เถอะ
ตำรวจก็มาที่วัดนี่... เป็นนายพลไปแล้ว ปืนยิงไม่ออกคือสัจจะและก็ว่าคล้องพระไปเป็นกิโลนะ โป้งตายไปหลายราย เพราะไม่นึกถึงคุณพระอยู่ในใจเลย ไม่มีสัจจะเอาพระไปคล้องเสียเปล่าๆ พระพุทธเจ้าไม่ช่วยแน่อาตมายืนยัน
# พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)
"เราก็รู้แล้วว่า จิตใจไม่สงบมันมีความทุกข์ ไม่สงบขึ้นมาเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น จิตใจสงบเมื่อไรสุขเมื่อนั้น ตรงนี้แหละพวกเราจะได้พากันแสวงหา" หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
คำอธิษฐานของหลวงปู่เกษม เขมโก
“อิทัง กุศลกัมมัง มยา กะตัง” กรรมอันเป็นกุศลนี้ อันข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว ขอจงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้ามีความสุขกายสบายใจ แม้นจะคิดสิ่งใด ก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการ
ขอให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนยาว และขอให้พ้นจากโรคภัยให้เจ็บ ทุกประการด้วยเถิด
ประการหนึ่ง ด้วยเดชะบุญอันข้าพเจ้าได้กระทำนี้ ข้าพเจ้าเกิดมาภพใด ชาติใด ก็ขอให้เกิดพระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้าทุกชาติ และขอให้พบนักปราชญ์เจ้า ผู้ใจบุญ ขอให้รู้คุณวิเศษ แท้ดีหลีเถิด
ประการหนึ่ง ข้าพเจ้าเกิดมาภพใดก็ดี ข้าพเจ้าขออย่าได้พบกรรมอันไม่ดีทุกชาติและขอให้ข้าพเจ้าได้เว้นจากบาป ความชั่วร้ายทุกชนิดเถิด
ประการหนึ่ง ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำมานี้ ข้าพเจ้ายังท่องเที่ยวไปมาในวัฏฏสงสารหลายกำเนิด ยังไม่ได้ถึงพระนิพพานเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอตั้งความปราถนา ได้มีใจมั่นคงทุกชนิดและข้าพเจ้าเกิดมาชาติใด มีอะไรขอให้เสมอใจทุกประการ และขอให้ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมทุกชนิดขอให้ได้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทุกชนิดและขอให้พ้นจากกิเลส บาป ความชั่วร้ายทั้งมวล เที่ยงแท้ด้วยเถิดและขอให้ข้าพเจ้า ได้ถึงนิพพาน อันเป็นสุดยอดของความสุขทั้งปวงด้วยเถิด
คำปราถนา (ผาถนา) ของข้าพเจ้ามีดังนี้แล้ว ขอให้สมปณิธาน ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้อย่าได้คลาดแคล้วสูญหาย เที่ยงแท้แด่เทอญนิพพาน
ปัจจะโย โหตุ เม นิจจัง (ว่า 3 หน) พระภิกษุเกษม เขมโก
หลวงปู่มหาทองอินทร์.. ท่านสอนไว้ว่า.. ไม่ว่าจะเกิดความทุกข์ยากลำบากกายใจอย่างไร.?. เรามีหน้าที่. คือ.. มีสติ..รู้อยู่เท่านั้น..
"ให้ใช้สติ.. ควบคุมใจ.. รักษาใจ.. เพียรพยายามรักษาใจให้ตั้งอยู่ในจุดเดียวเท่านั้น.. (จุดรู้)"
ถ้ามันตั้งอยู่แล้ว.. ให้ใช้ปัญญา.. พิจารณา.. ให้มันรู้เห็นตามความเป็นจริง..
"ให้ใจมันนิ่ง.. แล้วให้ใจไปรู้ (ขันธ์5) ตามความเป็นจริง"
•หลวงปู่มหาทองอินทร์ กุสลจิตโต•
คติธรรมจากหลวงพ่อ --//ใช้จิตใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น.. มาตำหนิตัวเอง.!. ใช้จิตใจที่ชอบให้อภัยตัวเอง.. มาให้อภัยผู้อื่น.!. •หลวงพ่อบุญลั่น กันโตภาโส• วัดถ้ำอินทนิล แม่สอด
ที่หลวงปู่มั่น ได้อบรมสั่งสอนธรรมแก่หลวงปู่กินรีถึงข้อปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้น ซึ่งมีรากฐานอยู่ที่การกระทำศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์พร้อม ๆ ไปกับการเจริญ สมาธิ ภาวนา เพื่อจะทำจิตให้สงบระงับจากอารมณ์ทั้งปวง
เพราะความที่จิตปลอดจากอกุศล ว่างเว้นจากอารมณ์อันเกิดจากการสัมผัสทางอายตนะ คือที่ตั้งแห่งการกระทบมี ๖ คู่ อันได้แก่
ตากับรูป
หูกับเสียง
จมูกกับกลิ่น
ลิ้นกับรส
กายกับการสัมผัสทางกาย
และใจที่กระทบกับอารมณ์ในภายใน
ที่ทำให้เกิดเวทนาความรู้สึกสึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้ดี รู้ชั่ว รู้สวย รู้ไม่สวย รู้น่ารัก รู้ไม่น่ารักทั้งหลายแล้ว จิตใจก็ย่อมจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว
อารมณ์นั้นก็ได้แก่พระกรรมฐานหมายถึง การเอาพระกรรมฐานเข้ามาตั้งไว้ในใจ ความตั้งมั่นของจิตในลักษณะเช่นนี้ ย่อมจะทำจิตให้สงบอย่างเดียว เป็นความสงบที่สะอาดและบริสุทธิ์ผุดผ่องใส
หลังจากนั้นแล้วจึงหันมาพิจารณาธาตุ ทั้ง ๔ อันได้แก่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุลม และพิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
ให้รู้ว่าธาตุขันธ์และรูปนามทั้งหลายเหล่านี้แท้จริงก็คือบ่อเกิดของความทุกข์โศกร่ำไรรำพันนานาประการทั้งปวงนั่นเอง
ถ้าขาดสติ.. โอกาสที่จิตใจจะวิ่งไปตามอารมณ์ภายนอก.. มันก็มีมากขึ้น.. และอารมณ์ทั้งหลายก็ย่อมครอบงำจิต.. ให้หลงใหลมัวเมาได้ง่ายขึ้น.!. •หลวงปู่กินรี จันทิโย•
ธรรมะจากหนังสือ ธรรมะจากใจ เล่มที่ ๑ บทที่ ๑๕ หลวงพ่อสมเกียรติ ชิตมาโร วัดป่าถ้ำพระเทพนิมิต ต.ตาลเลียน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี มอบธรรมะให้ลูกหลาน ให้พากันตั้งใจทำความเพียร เพื่อที่จะเผาศพกิเลส ให้ตายเกลี้ยงด้วยอำนาจ ตบะธรรมที่เราผลิตมันขึ้นมา อกาลิกจิต อกาลิกธรรม เมื่อจิตมีความสงบตัวเข้ามาแล้วย่อมมีพลัง เพราะกระแสของจิตที่ซ่านไปในที่ต่างๆนั้น รวมตัวเข้ามาสู่ความรู้ดวงเดียว คือ จิต เมื่อจิตได้รวมกระแสเข้ามาสู่จุดเดียว ย่อมเป็นกำลังและอิ่มตัวไม่หิวไม่โหยกับอารมณ์ต่างๆที่เคยสัมผัสสัมพันธ์ ที่เคยหิวเคยโหยอยู่ตลอดเวลานั้น มีแต่ความอิ่มเอิบ ความสงบเย็นจิตเย็นใจ จากนั้นก็นำจิตที่มีความอิ่มตัวในขั้นนี้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา เราจะพิจารณาเรื่อง อสุภะ อสุภัง ความปฏิกูลโสโครกในสิ่งต่างๆ ในร่างกายของตนทั้งภายนอกภายในหมดทั้งร่างนี้ และร่างกายของบุคคลอื่น สัตว์อื่นทั่วแดนโลกธาตุ ให้เห็นเป็นสภาพเหมือนกันนี้หมด นี่แลเรียกว่าวิปัสสนาปัญญา จิตเมื่อมีความสงบตัว อิ่มตัวแล้วเราพาทำงานแยกแยะขุดค้นพิสูจน์สิ่งต่างๆโดยทางวิปัสสนา ย่อมยอมทำงานให้เราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เถลไถลเพราะความหิวโหยฉุดลากไป เพราะฉะนั้นสมาธิจึงเป็นเครื่องหนุนปัญญา ปัญญาก็เดินได้คล่องเดินได้เร็ว ไม่ติดขัดไป เหนื่อยหน่าย อ่อนแอ ขี้เกียจ ขี้คร้าน ใครจะมาลบล้างว่าสมาธิไม่มีความจำเป็น ลบล้างกันไปไม่ได้ สมาธิกับปัญญาต้องเป็นคู่เคียงกันไปตลอด เมื่อปัญญาได้พิจารณาร่างกายส่วนต่างๆ ย่อมจะซึมซาบเข้าไปถึงส่วนร่างกายอย่างทั่วถึงกันหมดไม่ว่าอสุภะ คือความปฏิกูลโสโครกในร่างกายทั้งภายนอกภายใน เต็มไปทั้งร่างนี้ก็เห็นได้ชัดด้วยปัญญา จะแยกออกไปพิจารณาสิ่งภายนอกให้เป็นอสุภะ อสุภัง เหมือนกันก็ได้ เพราะเป็นสภาพเหมือนกัน ถ้าพิจารณาเป็นไตรลักษณ์ จะเป็นไตรลักษณ์ใดก็ตามไม่สำคัญ ไม่จำเป็น จะต้องพิจารณาทั้ง ๓ ไตรลักษณ์ในเวลาเดียวกัน เรามีความถนัดชัดเจน มีความสนใจในไตรลักษณ์ใดเป็นพิเศษ จิตย่อมสัมผัสสัมพันธ์กับไตรลักษณ์นั้นๆ นำไตรลักษณ์นั้นเข้ามาพิจารณาเทียบเคียง เช่น อนิจฺจํ ความแปรสภาพของร่างกายและจิตใจ เราจะเห็นความแปรสภาพอยู่ทุกขณะและอาการของจิต เป็นที่ทราบซึ้งถึงจิตว่าเป็นความจริงอย่างนั้นแน่นอน ทุกฺขํ ก็เหมือนกัน มีตรงไหนบ้างที่ร่างกายไม่เป็นทุกข์ มันก็เป็นเหมือนกัน จิตก็ซึ้งในเรื่องความทุกข์ ที่อยู่ในท่ามกลางแห่งความทุกข์แท้ๆ จิตของเรานี้อยู่ในท่ามกลางแห่งความทุกข์ ความทรมาน บีบคั้นบังคับอยู่ตลอดเวลา ทำไมจึงพากันรื่นเริงบันเทิงว่ามีความสุข มีความสุขที่ไหน นอกจากมีแต่ลมแต่แล้ง ตามหลักธรรมชาติแท้ๆ มันหากเป็นอยู่อย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา มีความสุขตรงไหน จิตดวงนี้ถูกบีบอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาอุปาทาน พร้อมทั้งผลของมันที่แสดงออกมา ให้จิตได้รับความทุกข์ความทรมานใจ ผลิดอกออกผลออกมาเป็นรูปร่างกายสวยบ้าง ขี้เหร่บ้าง เพราะพืชแห่งอวิชชานั้น มันก็คือก้อนแห่งความทุกข์นั้น เราลองพิจารณาแยกแยะออกไปดูซิ มันก็เป็นทุกข์ไปได้ทุกแง่ทุกมุมตามแต่ความถนัดใจจนถึงกับซึ้งจริงๆภายในจิตใจ เราจะพิจารณาเป็น อนตฺตา ของไม่เที่ยงหาสาระแก่นสาร หาสัตว์ หาบุคคล หาเรา หาท่าน หาของเราของเขาที่ตรงไหน มันเป็นสภาพแห่งความจริงอันหนึ่งๆ ที่ปรากฏตัวอยู่ชั่วขณะเท่านั้นเอง ธรรมทั้ง ๓ ประเภท คือ ไตรลักษณ์นี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเพียงแต่ว่าอาการเหมือนกับข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวาของบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่อาศัยว่าร่างกายนี้เป็นรากฐานข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวาออกจากร่างกายอันนี้ เป็นอาการหนึ่งๆนั้นเหมือนกับร่างกาย ไตรลักษณ์ก็อยู่ด้วยกันนั้นทั้ง ๓ เพราะฉะนั้นการพิจารณาไตรลักษณ์ใด จึงสามารถซึมซาบไปถึงไตรลักษณ์ทั้งหลายได้โดยไม่ต้องสงสัย สุดท้ายก็รวมลงมาใน ธมฺมา อนตฺตา จะไม่นอกเหนือไปจากนี้ได้เลย วิ่งเข้าถึงกันทีเดียว การพิจารณาจงทำให้จริงให้จัง อย่าทำสักแต่พอขอไปที ของจริงมีอยู่ในร่างกายและจิตใจของเรา ไม่เคยเสื่อมคลายไม่เคยสูญหายไปไหน ไม่เคยด้อย ไม่เคยลดความจริงของตนลงไป พูดถึงเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ดี พูดถึงเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความแตกสลายพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ มันก็มีสมบูรณ์อยู่ที่ร่างกายและจิตใจของเรานี้ ที่ว่าจิตใจของเรานี้มันมีอวิชชาอยู่ในนั้น ถ้าบริสุทธิ์แล้วจิตไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่นี้มันไม่บริสุทธิ์ ธรรมชาติซึ่งเป็นสมมุตินี้มันมีอยู่ภายในจิตใจ จึงต้องกระเทือนถึงร่างกายจิตใจตลอด เพราะมันเป็น อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ตามกันไปหมด เพราะไตรลักษณ์มันมีอยู่ภายในใจ ใจมีสิ่งสมมุติเจือปน ใจมีเมล็ดพืชพันธุ์ พร้อมที่จะเกิดอยู่ทุกเมื่อ ใจจึงต้องเป็นสมมุติ ใจจึงต้องเป็นไตรลักษณ์ได้ เราต้องแยกแยะให้ถึงเหตุถึงผล ถึงหลักถึงฐานของมัน ถึงจะปลดจะเปลื้อง จะปล่อยจะวาง จิตจึงจะว่างจากอาสวะกิเลสไปได้โดยเด็ดขาด แล้วมรรคผลนิพพานก็จะเกิดขึ้นมา โดยที่เราไม่ต้องเรียกร้องหามรรคผลนิพพานให้เสียเวล่ำเวลา ขอแต่เหตุมันสมเหตุสมผล การปฏิบัติสมน้ำสมเนื้อ เราอย่าคาดอย่าหมายว่ามรรคผลนิพพานจะอยู่ในสถานที่ใด นอกจากจะสนใจขุดค้นลงในวงแห่งสัจธรรมนี้ ให้รู้แจ้งเห็นจริงในความจริงทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้เป็นเวลา ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้วว่า ทุกขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นสภาพแห่งความจริงอันหนึ่ง สมุทย อริยสจฺจํ สมุทัยก็เป็นความจริงอันหนึ่ง กิเลสมันก็เป็นความจริงของมัน มคฺค อริยสจฺจํ เครื่องดำเนินเพื่อแก้กิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่างๆ ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง นิโรธ คือ ความดับสนิทแห่งทุกข์ เพราะอำนาจแห่งมรรค ทำหน้าที่โดยสมบูรณ์แล้ว ก็เป็นธรรมของจริงอันหนึ่ง ให้ขุดค้นลงที่ตรงนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะกีดกั้นมรรคผลนิพพาน กาล สถานที่ไม่มีอำนาจเท่ากิเลสที่มีอยู่ภายในจิตใจของเรา ตัวนี้แลเป็นธรรมชาติที่กีดกั้นมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้นจงฟาดฟันกิเลสทั้งหลายซึ่งเป็นสัจธรรมแต่ละอย่างๆนั้น ลงที่ดวงใจของเรา อันเป็นสถานที่อยู่และที่เกิดแห่งกิเลสทั้งหลายนี้ด้วยมรรค คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นเรื่องของมรรค เอาให้แหลกแตกกระจายลงที่ตรงนี้ คำว่านิโรธ คือ ความดับทุกข์ นั้นเป็นสิ่งที่จะแสดงตัวขึ้นมาตามอำนาจแห่งมรรคที่ทำหน้าที่ได้มากน้อยเพียงไร ถ้ามรรคมีกำลังเต็มที่ คือ สติปัญญามีความเฉลียวฉลาด สามารถปราบกิเลสได้หมด โดยประการทั้งปวงไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นิโรธ คือ ความดับทุกข์ก็จะดับสนิท เพราะกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้นดับไปแล้วอย่างสนิท ทุกข์จะเกิดมาจากไหน เมื่อต้นเหตุของทุกข์ดับไปแล้ว มันอยู่ที่ตรงนี้ คือ อยู่ที่กายและใจ กายกับใจเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ถือหมดไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดเป็นเรื่องสมุทัยที่ออกมาจากจิต จิตเป็นคลังเก็บสะสมกิเลส สมุทัยเป็นผู้ผลักดันออกมา อุปาทานสืบเนื่องมาจากความสำคัญผิด ความลุ่มหลง ฉะนั้นจึงต้องแก้กันด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร เป็นเครื่องสนับสนุน ขอให้เราพยายามนำ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร อันเป็นฝ่ายธรรมเข้าไปชะล้าง เข้าไปกำจัด เข้าไปปราบปราม เข้าไปทำลาย ให้สิ่งเหล่านี้สลายหายสาบสูญไปโดยลำดับ จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ภายในจิตใจนั้นเลย เหลือแต่ธรรมล้วนๆ เป็นธรรมแท้ธรรมบริสุทธิ์ เป็นธรรมโดยหลักธรรมชาติ เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วเรายิ่งรู้เรื่องได้ชัดเจนว่า การที่ความเคลื่อนไหวไปมาของจิตแต่ละอาการนี้ ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องเชิดของกิเลสทั้งมวล กิเลสอยู่ฉากหลัง กิเลสเป็นผู้กำกับการแสดงทั้งหมดในสามแดนโลกธาตุนี้ ทีนี้พอกิเลสนั้นสิ้นไปแล้ว อาการใดแสดงออกมา ก็เป็นไปตามหลักธรรมชาติของตน ขันธ์ก็เลยกลายเป็นขันธ์ล้วนๆ เพราะไม่มีสิ่งมาบังคับบัญชาเหมือนแต่ก่อน นอกจากธรรมซึ่งเป็นเจ้าของ ธรรมที่เป็นเจ้าของก็ไม่ได้ยึดขันธ์ทั้ง ๕ นี้ว่าเป็นตัวเป็นตนแต่อย่างใดเลย เราจึงจะเห็นได้ชัดว่าไม่มีสิ่งใดที่จะก่อกวนยุแหย่ทำลายบีบคั้นให้ได้รับความทุกข์นอกจากกิเลสเท่านั้น เมื่อกิเลสสิ้นลงไปจากจิตใจแล้ว ไม่มีอันใดที่จะมาทำลายเลย มีแต่ความเป็นอิสระอยู่โดยลำพังตนเองโดยหลักธรรมชาติ เป็นอกาลิกจิต อกาลิกธรรม หากาลสถานที่ไม่ได้ เป็นหลักธรรมชาติอยู่อย่างนั้นตลอดอนันตกาล ฉะนั้นท่านผู้ที่สิ้นจากการกดขี่บังคับ กลายมาเป็นจิตอิสระแล้วท่านจึงไม่หมายป่าช้า ไม่หมายการเกิด การตาย ไม่หมายสถานที่นั่นที่นี่ สูงๆต่ำๆ ภพนั้นชาตินี้อะไร ท่านไม่หมายเพราะท่านเจอความจริง ความพอดี ความอิ่ม พอเต็มหัวใจแล้ว ไม่หิวโหยเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนกิเลสพาสัตว์โลกหิวโหยไม่มีความอิ่มพอเลย พอจิตได้เป็นอิสระเต็มที่ด้วยธรรม ธรรมกับจิตกลายเป็นอันเดียวกันแล้ว จึงหมดความหิวโหย เป็นความพอตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่คาดโน้นคาดนี้ อดีต อนาคต สถานที่นั่นที่นี่ ซึ่งเป็นเรื่องของสมมุติที่เคยหลอกมานาน เป็นอันว่าหมดปัญหาไปโดยสิ้นเชิง เหลือแต่หลักธรรมชาติล้วนๆนั้นแหละ พระขีณาสพเจ้าทั้งหลาย ท่านเป็นอย่างนั้น ท่านอยู่อย่างนั้น ท่านไม่โทษนั้นโทษนี้เหมือนพระลิง พระค่าง โยมลิง โยมค่าง เหมือนพวกเรา เวลาธาตุขันธ์สลายลงไปก็เป็นเรื่องของธาตุของขันธ์สลายตัวลงไป โดยที่ท่านทราบไว้รอบคอบหมดแล้ว ทราบไว้ตลอดทั่วถึงแล้วตั้งแต่วันท่านตรัสรู้แล้วโน้น บรรลุธรรมแล้วโน้น เมื่อถึงกาลเขาจะทำหน้าที่ตามความสัตย์จริงปล่อยลงไปตามสภาพเดิมของเขา ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมไฟก็สลายไปตามสายลมของมัน จิตผู้ไม่มีความบกพร่องต้องการสิ่งใด บรรดาสมมุติที่อยู่ในโลก ย่อมเป็นจิตที่หายห่วงกังวล อนาลโย อยู่ด้วยความพอตัว ไม่ต้องพึ่งพิงอิงอาศัยอันใดอีกแล้ว เพราะทั้งหมดนั้นเป็นสมมุติทั้งมวล จิตนี้เป็นวิมุตติหลุดพ้นแล้ว จึงไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือ ข้องแวะกับบรรดาสมมุติใดๆทั้งสิ้น เพราะได้รู้แจ้งแทงตลอดหมดแล้ว นี่คือผลแห่งการปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนาของผู้มีความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปนานแล้วหรือไม่นานเพียงใด จะไม่ไปยุ่ง นอกจากทำงานอยู่ในวงสัจธรรมตามที่พระองค์ทรงสอนไว้แล้ว อันเป็นธรรมของจริงแท้ ของจริงแท้ ๔ อย่าง ทุกข์ดับไปแล้วเพราะ สมุทัยดับไป มรรคมีสติเป็นสำคัญ นิโรธเป็นกิริยาอันหนึ่งแห่งความทุกข์เท่านั้น ผู้ที่รู้ว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธทำงานสำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้วนั้นคือ ผู้บริสุทธิ์ ผู้นี้ไม่ใช่สัจธรรม เป็นธรรมชาติที่เหนือสัจธรรมนี้โดยประการทั้งปวง
ถ้าหาความสงบแล้วล่ะก็ โห...มันไม่อยู่กับพุทโธก็มัดมันเข้าไป บริกรรมถี่ๆ เข้า ไม่ให้อะไรเข้าแทรก อย่างนั้นเลยนะ ครูบาอาจารย์ท่านฝึกมา ถ้าพิจารณาก็ให้พิจารณาไปตามเจ้าของนี่ อย่างคนตายเขาหามเข้ากองไฟนี่ ไฟไหม้เขาทำไมไม่เจ็บ คิดดู อ่ะ...เลิกกัน หลวงปู่ลี กุสลธโร
ค่อยๆหมั่นทำไป การปราถนาบรรลุธรรมขั้นต้นไม่ยาก ไม่ห่างจนเกินไปหรอก หากภาวนาจิตรวม ม้างกายได้ ละความมีตัวมีตนได้ ก็ได้ หากยังไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ได้รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ก็ดีอยู่ หมั่นภาวนาให้เป็นอุปนิสัย ภพภูมิต่อไปก็จะง่ายขึ้น โอวาทธรรม:องค์หลวงปู่อ่ำ ธมฺมกาโม วัดสันติวรญาณ จ.เพชรบูรณ์
ขอเชิญปฏิบัติธรรมที่วัดเขาพุทธโคดม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 30 ธ.ค.58- 1ม.ค.59
|