นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 2:48 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 01 ม.ค. 2016 5:20 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
ทุกสรรพสิ่งที่ดิ้นรนแสวงหา สะสมกันเข้าไว้ ในที่สุดก็ต้องทิ้งต้องจาก
ซึ่งป่วยการที่จะกล่าวไปถึง
สมบัติที่จะนำเอาติดตัวไปด้วย
แม้แต่เนื้อตัว ร่างกายที่ว่าเป็นของเรา
ก็ยังเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้
และก็เป็นความจริงที่ได้เห็นและรู้จักกันมานานนับล้านๆ ปีคนแล้วคนเล่า

ในเมื่อความเป็นจริงก็เห็นๆ กันอยู่เช่นนี้แล้ว
เหตุใดเราท่านทั้งหลาย
จึงต้องพากันดิ้นรนขวนขวาย
สะสมสิ่งที่ในที่สุดก็จะต้องทิ้ง จะต้องจากไป
ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายวันเวลาอันมีค่า
ของพวกเราซึ่งก็คงมีไม่เกินคนละ ๑๐๐ ปี
ให้ต้องโมฆะเสียเปล่า
ไปโดยหาสาระประโยชน์อันใดมิได้

เหตุใดไม่เร่งขวนขวายสร้างสมบุญบารมี
ที่เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐ์
ซึ่งจะติดตามตัวไปได้ในชาติหน้า แม้หากว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีจริง
ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้
อย่างเลวพวกเราก็เพียงเสมอตัว มิได้ขาดทุนแต่อย่างใด
หากสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า
มีจริงดั่งที่ปราชญ์ในอดีตกาลยอมรับ แล้วเราท่านทั้งหลายไม่สร้างสมบุญ
และความดีไว้ สร้างสมแต่ความชั่วและบาปกรรม
ตามติดตัวไป
เราท่านทั้งหลายไม่ขาดทุนหรอกหรือ เวลาในชีวิตของเราที่ควรจะได้ใช้
ให้เป็นประโยชน์ กลับต้องโมฆะ
เสียเปล่าก็สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็น
" โมฆะบุรุษ " โดยแท้

~สมเด็จพระญาณสังวร สกลมหาสังฆปริณายก~





หลวงปู่ดู่สอนเรื่องการจบของทำบุญ และการอธิษฐานรับพร

ก่อนที่ท่านมีศรัทธาทั้งหลาย จะถวายของแก่พระภิกษุสงฆ์ มักจะมีการอฐิษฐานหรือที่เรียกว่า จบของ บางคนจบนาน บางคนจบช้า หลวงพ่อท่านให้ข้อคิดว่า "ก่อนที่เราจะถวาย ให้จบมาเสียก่อนจากบ้าน เนื่องจากพอมาถึงวัด มักจะจบไม่ได้เรื่อง คนมากมายเดินไปเดินมา จะหาสมาธิมาจากไหน เราจะทำอะไรก็ตามอธิษฐานไว้เลย เวลาถวายจะได้ไม่ช้า เสียเวลาคนอื่นเขาอีกด้วย บางคนก็ขอไม่รู้จบให้ตัวเองไม่พอให้ลูกให้หลาน จิตเลยส่ายหาบุญไม่ได้"

การที่หลวงพ่อให้จบก่อนนั้น มีความประสงค์ให้ตั้งเจตนาให้ดี บุญที่ได้รับจะมีผลมาก ญาติโยมจึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "ควรอธิษฐานอย่างไร" หลวงพ่อตอบว่า "อธิษฐานให้พ้นทุกข์ หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไปจนพ้นทุกข์ ถ้าเป็นภาษาบาลี ก็ว่า สุทินนัง วะตะเม ทานัง อาสวะขะ ยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ ต้องพบกับความดี มีความสุขใช่ไหม ไม่ต้องอธิษฐานยืดยาวหรอก"

เมื่อทำบุญแล้ว มักจะมีการรับพรจากพระ มีการกรวดน้ำ บางทีไม่ได้เตรียมไว้ต้องวิ่งหากันวุ่นวาย หลวงพ่อบอกว่า "ใช้น้ำใจ น้ำจิต ของเรากรวดก็ได้ เขาเรียกกรวดแห้ง ไม่ต้องกรวดเปียก เรื่องการกรวดเปียก เขาเริ่มมาจากสมัยพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อถวายของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านกรวดน้ำให้เปรต ญาติพี่น้องที่มาร้องขอบุญจากท่าน ตอนแรกท่านไม่รู้ เลยทูลถามพระพุทธเจ้า ที่เขาเรียกว่า ทุสะนะโส คือ หัวใจเปรตนั่นแหละ" หลวงพ่อท่านตอบเพื่อให้คลายกังวล สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลากรวดน้ำเช่น คนที่รีบใส่บาตรก่อนจะไปทำงาน เป็นต้น

ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า "ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้า" แล้วก็อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เวลาเขามีพิธีอะไร อย่างเช่น เวลาเขาปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหน ๆ ก็ได้ทั้งนั้น

~หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ~





คำว่า พุทโธ นี้ ผีเกรงกลัวที่สุด

เพราะอานุภาพของ พุทโธ และจิตที่เป็นสมาธิ

พวกภูตผีต่างๆ จึงไม่อาจทำอันตรายใดๆ แก่เราได้...

และเมื่อเราแผ่เมตตาให้ พวกนั้นก็น้อมรับในส่วนบุญ

กลายเป็นมิตรไปกับเราเสียอีก

ถ้าหากท่านผู้ใดกลัวผีก็ขอให้ภาวนา พุทโธ พุทโธ จนจิตเป็นสมาธิ

ความกลัวจักหายไปเอง

~หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม~





หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้เล่าถึงเรื่องการสวดมนต์ ไหว้พระให้พระเณรฟังว่า

" การสวดมนต์ไหว้พระนั้น ถึงแม้ว่าเราจะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงก็ตาม พวกเทพเจ้าเหล่าเทวดาเขามีหูทิพย์ตาทิพย์ เขาก็จะได้ยินเสียงที่เราสวดมนต์ไหว้พระด้วยพระสูตรต่าง ๆ เมื่อเขาได้ยิน เขาก็จะเกิดความปีติยินดีในการสวดมนต์ไหว้พระกับเรา เขาก็จะพากันมาร่วมอนุโมทนาบุญกับเราด้วย ถ้าจิตเราสงบลงไปบ้างสักเล็กน้อย เราก็จะได้ยินเสียงที่เขามาอนุโมทนากับเรา เสียงที่เขาเปล่งสาธุการนั้นมันดังปานฟ้าสิถล่มทลายลงมาทับดิน "

หลวงปู่ ได้เล่าเรื่องที่ท่านเที่ยววิเวกในเมืองพม่า ดังนี้

" ครั้งหนึ่ง เราพักจำพรรษาที่บ้านยางแดง ประเทศพม่า วัดที่เราอยู่นั้นมันมีศาลาอยู่เพียงหลังเดียว และศาลานี้ก็มีเสาอยู่ตรงกลางต้นเดียว เราให้เขากั้นห้องเป็นสองห้อง ห้องหนึ่งเราเอาไว้พัก อีกห้องหนึ่งเราก็เอาไว้นอน ตรงกลางศาลา จะมีแท่นบูชาพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอยู่หนึ่งองค์ สูงประมาณศอกหนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้แกะสลักจากไม้สัก ในแต่ละวันเราก็อาศัยสวดมนต์ไหว้พระอยู่หน้าพระประธานองค์นี้แหละ คืนนั้น เรากำลังไหว้พระสวดมนต์อยู่ดีๆ พอสวดบทธัมมะจักกัปปะวัตตนะสูตร ถึงท่อนที่ว่า จาตุมมหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ จาตุมมหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา ฯ.ช่วง ท่อนที่กำลังไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆอยู่นั้น ปรากฏมีเสียงดังสะท้านไปทั่ว เป็นเสียงที่ดังกระหึ่มลงมาจากท้องฟ้า เสียงดังกระหึ่มนั้นทำให้ศาลาที่เรานั่งสวดมนต์ไหว้พระอยู่นั้นเกิดการสั่น ไหวขึ้นมา เสียงศาลามันลั่นเอี๊ยดอ๊าดๆ โยกไหวไปมาเหมือนกับว่าแผ่นดินมันไหว เราก็เลยหยุดสวดมนต์เอาไว้ก่อน มานั่งฟังเสียงดูว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่
เรามานั่งรำลึกในใจของเราว่า " โฮ้ๆ ! เกิดอีหยังขึ้นหนอที่นี่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปานนี้ มันสิเฮ็ดให้ศาลามันพังลงมาซะบ่น้อ ! "เราจึงดับไฟเทียนที่หน้าพระประธาน นั่งฟังเสียงดังกระหึ่มนี้อย่างเดียว พอเรามานั่งฟัง เสียงดังๆนั้นมันก็เงียบหายไป " บ่มีอีหยังอีก... "เมื่อเสียงดังนั้นหายไปแล้ว หลวงปู่ท่านก็สวดมนต์ต่ออีก ท่านเล่าดังนี้
" ...เราก็เลยสวดมนต์ต่อ พอสวดถึงท่อนไล่ชื่อสวรรค์ชั้นต่างๆนั้น เสียงดังกระหึ่มมันก็กลับมาอีกรอบ เราบ่นออกเสียงว่า ฮ่วย ! มันเป็นอีหยังอีกน้อบาดนี่ ! พอว่าจังซั่นล่ะ ขนคี่ง ( ขนตามตัว ตามแขนขา ) ขนหัว กะพากันลุกยาบๆ เอามือลูบไว้กะบ่อยู่ ฮ่วย ! ฮ่วย ! อีหยังกันน้อบาดนี่ แผ่นดินมันไหวบ้อน๊อ ? " เรานั่งฟัง เสียงนั้นอยู่อีกนานพอสมควร เสียงนั้นจึงเงียบลงไป เราก็เลยสวดมนต์ต่อไปจนจบครบสูตร ระหว่างที่สวดนั้น ก็ไม่ปรากฏมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาอีก
สวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับเข้าไปที่ในห้องพักเพื่อที่จะนั่งภาวนาต่อ ตอนที่มานั่งภาวนานี้แหละ ถึงได้มารู้ว่า เสียงที่มันดังกระหึ่มปานฟ้าจะถล่มลงมาทับดินนั้น มันคือเสียงอนุโมทนาสาธุการของเทพเจ้าเหล่าเทวดา พวกเขาได้ยินเสียงเราสวดมนต์ไหว้พระ พอพวกเขาได้ยินแล้ว ก็เกิดความปีติยินดีขึ้นมา จึงพากันเปล่งเสียงอนุโมทนาสาธุการกัน
เสียงอนุโมทนาของพวกเทพเจ้าเหล่าเทวดามีอานุภาพมาก จนทำให้แผ่นดินเฉพาะตรงที่เราอยู่นั้น เกิดการสั่นไหวขึ้นมาชั่วขณะ เทวดาเขามาแสดงปาฏิหาริย์ให้เรารับรู้





~คำสอนหลวงพ่อ~

คนที่มักโกรธ หรือมีอารมณ์โกรธ
คนนั้นเป็นคนโง่ โง่ตรงไหน
ถ้าโกรธขึ้นมาเมื่อไหร่ ปัญญามันถูกตัด
ความโกรธมันตัดปัญญาไป
ตอนนั้นมันคิดอะไรไม่ออก
ทีนี้คนที่มีโทสะจริต
จึงกลายเป็นคนโง่มากกว่าคนฉลาด
และคนที่เขาฉลาดจริงๆเขาไม่โกรธใคร
โกรธเหมือนกันแต่รู้จักยับยั้งเสียทัน
แต่ที่ว่าไม่โกรธเลยนั้นไม่มี
แต่ว่าไม่บูชาความโกรธ

~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง~




ความเข้มแข็ง...ของผู้ที่วิ่งหนี..."กรรมชั่ว"
คือ..."ความเข้มแข็ง"สม่ำเสมอ
ของ...การทำ"กรรมดี"นั่นเอง
~สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก~




ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย "ตั้งใจพิจารณากายกันเสียก่อน" หากฎแห่งความจริงกันเสียก่อน การภาวนาใดๆ อันนี้ขอให้ปฏิบัติในพระธรรมคำสั่งสอน ในสมเด็จพระบรมสุคตเป็นอันดับแรกของการพิจารณา

อันดับแรก "ขอให้พิจารณากฎของความเป็นจริง" ว่าการเกิดนี่เราเกิดมาเพื่ออะไร นี่เราต้องถามตัวเราดู ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ว่า "ทุกคนเกิดมาเพื่อตาย" เราเกิดมานี่เราเกิดมาเพื่อตาย เพราะว่าการเกิดมีการตายในที่สุด ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย ถ้าเกิดมาแล้วก่อนจะตายก็มีความทุกข์ ความทุกข์นี้พรรณนาหมดไม่ได้

จะพรรณนาได้ย่อๆ คือว่า ตามปกติร่างกายเราไม่มีความเที่ยง มีความแปรปรวน เดินเข้าไปหาความสลายตัวทุกวัน เรียกว่า "เดินเข้าไปหาความตายทุกวัน" ตอนที่ร่างกายเดินเข้าไปหาความตาย ท่านเรียกว่า "ความเสื่อม" คือ "เป็นอนิจจัง"

ไอ้ตัวเสื่อมนี่เราไม่ชอบ ไม่มีใครชอบความเสื่อม จะเป็นความเสื่อมด้านอารมณ์ก็ดี เสื่อมด้านร่างกายก็ดี ธาตุ ๔ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟก็ดี เราไม่ชอบ อีกประการหนึ่งมันเสื่อมแล้วมันก็มีอาการป่วยไข้ไม่สบาย อันนี้เราก็ไม่ชอบเหมือนกัน

โรคภัยไข้เจ็บนี้ไม่มีใครต้องการ นอกจากนั้นก็มีความปรารถนาไม่สมหวัง ความร้อน ความหิว ความกระหาย ความไม่ทรงตัวของร่างกายเราก็ไม่ชอบ ในที่สุดความตายก็เข้ามาถึงเราไม่ชอบ การพลัดพรากจากกันเราก็ไม่ชอบ

การไม่ชอบอย่างนี้ "ก็เป็นการฝืนกฎธรรมดา" เรียกว่า เราใช้อารมณ์ผิดก็ถูก เพราะอะไรจึงถูก เพราะเราไม่ต้องการให้ร่างกายเสื่อม แก่ ทรุดโทรม หรือป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องการพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจ ไม่ต้องการตาย

นี่เป็นอารมณ์ของมนุษย์ที่ยังมี "กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม สิงใจอยู่มาก" ไม่ต้องการความจริง แล้วไอ้สิ่งที่เราไม่ต้องการนี่เราฝืนมันได้ไหม หาคนฝืนไม่ได้ หมอรักษาโรคให้คนอื่นหายได้ แต่ว่าหายไม่จริงเพราะอะไร เพราะไม่ช้าคนนั้นก็ตาย บางทีหมอรักษาก็ตายเสียเอง

หมอรักษาโรคเองได้ แต่หมอก็เป็นโรคตายเหมือนกัน นี่เป็นธรรมดาร่างกาย เมื่อเราเกิดมาแล้วก็มีความเสื่อม ไอ้ความเสื่อมนี่มันเป็นอาการของความทุกข์ เพราะเราไม่ต้องการเป็นอย่างนั้น และในที่สุดก็ตายแก้ไขไม่ได้ ..

(หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)




กาลเวลาเป็นสิ่งสำคัญ
พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ใช้กาลเวลาให้ดี
ดังที่ตรัสไว้ว่า ทำดีเวลาเช้าก็เช้าดี
ทำดีเวลาบ่ายบ่ายก็ดี ทำดีเวลาเย็นก็เย็นดี ฤกษ์งามยามดีทางพุทธศาสนาอยู่ที่ทำดี
ทำดีเมื่อไหร่ก็ฤกษ์งามยามดีเมื่อนั้น
เมื่อทำดีชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตดี
เมื่อทำชั่วชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตชั่ว
ไม่ทำดีปล่อยกาลเวลาล่วงไป
โดยเปล่าประโยชน์ชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตเปล่า
มีพระพุทธภาษิตว่าความดีความเพียร
พึงรีบกระทำเสียตั้งแต่วันนี้ทีเดียว
ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมาในวันพรุ่งนี้





..=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "วิปัสสนาญาณ"<=..

.. "ทุกครั้งที่จะเจริญวิปัสสนา ท่านให้เข้าฌานก่อน" ตามกำลังสมาธิที่ได้เสียก่อน เข้าฌานให้ถึงที่สุดของสมาธิ ถ้าเป็นฌานที่ ๔ ได้ยิ่งดี ถ้าได้สมาธิ แต่สมาธิไม่ถึงฌาน ๔ ก็ให้เข้าฌานจนเต็มกำลังสมาธิที่ได้

เมื่ออยู่ในฌานจนจิตสงัดดีแล้ว ค่อยๆ คลายสมาธิมาหยุดอยู่ที่ "อุปจารฌาน" แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณทีละขั้น อย่าละโมบโลภมาก ทำทีละขั้นๆ นั้น "จนเกิดเป็นอารมณ์ประจำใจ ไม่หวั่นไหว"

เป็น "เอกัคคตารมณ์" เป็นอารมณ์ไม่กำเริบแล้ว จึงค่อยเลื่อนไปฌานต่อไปเป็นลำดับ ทุกฌานปฏิบัติอย่างเดียวกัน ทำอย่างนี้จะได้รับผลแน่นอน "ผลที่ได้ต้องมีการทดสอบจากอารมณ์จริงเสมอ"

อย่าคิดเอาเองว่าได้ เมื่อยังไม่ผ่านการกระทบจริง "ต้องผ่านการกระทบจริงก่อน ไม่กำเริบแล้วเป็นอันใช้ได้" จงอย่าลืมว่าก่อนพิจารณาทุกครั้งต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌานมาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน

แล้วพิจารณาวิปัสสนาญานถึงจะเห็นเหตุผลง่าย ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ว "วิปัสสนาญานก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง" ไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งนึกนอนนึก แล้วในที่สุดก็เลิกนึก และหาทางโฆษณาว่า ฉันทำมาแล้วหลายปีไม่เห็นได้อะไรเลย

จงจำระเบียบไว้ให้ดี และปฏิบัติตามระเบียบให้เคร่งครัด วิปัสสนาไม่ใช่ต้มข้าวต้ม จะได้สุกง่ายๆ ตามใจนึก พิจารณาจนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็น "เอกัคคตารมณ์" คือ "จิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา"

เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตน หรือคนอื่น "เป็นของธรรมดาไปหมด" สิ่งที่กระทบเคยทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่มีความทุกข์ความเร่าร้อนไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน

ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่า "ครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้" เป็นต้น คำว่า "ครอบงำ" หมายถึง "ความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว" ใครจะตายหรือเราจะตาย ไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย

ใครทำให้โกรธ ในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง นอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิด เคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด "สามารถจะสลายวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะ" มีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ ..

(หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)



คนดี อยู่ที่ใด ใครก็รัก
คนดี เดินไปไหน ใครก็สน
คนดี นั่งที่ใด ใครก็ชอบยล
คนดี แม้จักจน ก็มีกิน
คนดี ยืนที่ใด ใครก็ทัก
คนดี มีคนรัก ใครก็สน
คนดี แม้ตกอับ ก็ไม่จน
คนดี มีแต่คน อยากพบพาน
คนดี ไปที่ใด ใครก็ช่วย
คนดี ทำสิ่งใด คุณพระฯ เห็น
คนดี อยู่กับใคร คนนั้นก็เย็น
คนเย็น อยู่กับใคร ใจก็เบาสบาย

คนเก่งๆ ในโลกนี้..มีมาก
แต่..ที่หาได้ยาก ก็คือคนดี

คนดี..เผลอไปคิดชั่วได้ แต่ไม่ยอมทำ
คนชั่ว..นั้น นอกจากคิดดีก็ไม่ได้แล้ว
ก็ยังเก่งกาจ มีความสามารถสร้างความชั่ว ทำความชั่วได้ โดยที่มิต้องคิด

ฉะนั้น..ขอลูกพ่อทุกคน จงคิดดี พูดดี แลหมั่นสร้างแต่คุณงามความดีอยู่เสมอๆ

พ่อ พระธัมมสรโณ




ขอเชิญร่วมบุญสร้างพระ สำนักสงฆ์เขากะลาพญาธรรม ต.เขากะลา จ.นครสวรรค์ โทร 0979898575





พระมหาเมธี จารุวัณโณ วัดป่าภูรังเมธาราม (สำนักปฏิบัติธรรมมรรควิสุทธิญาณ) หมู่ 6 บ้านซับพระไวย์ ต.โพนทอง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ แจ้งข่าวงานบุญในรายการดังนี้
1. เจ้าภาพขอติดตั้งและเดินสายไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเข้าสู่วัด เนื่องจากปัจจุบันทางวัดโยงสายไฟฟ้ามาใช้งานจากชาวบ้านในย่านนั้น ทำให้ไม่ได้มาตรฐาน ไฟตกบ่อย ไม่สามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกันได้ เช่น หุงข้าว ก็จะเปิดพัดลมไม่ได้ จึงขอสาธุชนร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ต่อไปนี้
1.1 เสาไฟฟ้า 15 ต้น ต้นละ 4,000 บาท
1.2 สายไฟฟฟ้า 1,600 เมตร เมตรละ 100 บาท
1.3 หม้อแปลงไฟฟ้าแรงต่ำ จำนวน 80 กองทุน กองทุนละ 1,000 บาท
ร่วมบุญกับ พระมหาเมธี จารุวัณโณ
โทร 090-829-1117




ขอเชิญร่วมปล่อยปลา
https://www.facebook.com/masiri14/posts/955851227803970



ขอเชิญร่วมบุญจัดตั้ง โรงพยาบาล
https://web.facebook.com/profile.php?id=100005429881681



ขอเชิญซื่อที่ดินถวายวัด
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 761&type=3




ขอเชิญร่วมบุญรายการบุญแรกปีใหม่ 1/1/59 ......
1.หล่อพระสมเด็องค์ปฐมทองคำและพระชำระหนี้สงฆ์ที่วัดบ้านห้วยน้ำขาว จ.กาญจนบุรี
2.ร่วมหล่อสมเด็จองค์ปฐมทันใจ กับน้องนัยรัตน์(งิ๊ง)ที่วัดบ้านห้วยน้ำดิบ จ.ลำพูน
3.ถวายสังฆทานและบุญอื่นๆที่วัดท่าซุง..และบ้านสบายใจและที่อื่นๆตามวาระ
โทร081-8586802
https://www.facebook.com/phanom.suthaph ... 6920064749



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทำบุญเจริญกุศลศรัทธาส่งท้ายปี ในจัดซื้อทองคำเพิ่มเติ่มครั้งสุดท้าย อีก ๓ บาทและเพชรซีกเพิ่มเติ่ม เพื่อจัดสร้างผอบทองคำประดับเพชรซีกพร้อมด้วยพลอยนพเก้า(ส่วนที่ยังขาด) และผอบแก้ว ผลึกคาดทองคำประดับพลอยทับทิมพร้อมด้วยนพเก้า(กำลังรอทองคำในการจัดสร้าง) เพื่อเป็นภาชนะอันมีค่ายิ่งในการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อัญเชิญประดิษฐานใน "พระธาตุมหาไตรรัตนโพธิศรัทธาสามัคคี" พระธาตุหลวงทรายมูล ณ วัดทรายมูล ตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
ติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 085-060-0601 (พรเทพ)
https://www.facebook.com/porn.aket/post ... 4248177291




โครงการทำบุญพระอาพาธ โรงพยาบาล เครื่องมือแพทย์ ฯลฯ ทุกวัน
เราช่วยหมู่สงฆ์และสาะารณะโดยรวมได้ทุกวัน
https://www.facebook.com/groups/567152463420622/



ขอเชิญร่วมบุญใหญ่ โครงการสร้างสมเด็จองค์ปฐมทุกวัน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 451&type=3


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 163 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO