" นายพรานส่งคืนศีล "
คนบางคนน่ะไปวัดสมาทานศีลแล้ว
กลับไปถึงบ้าน บัดนี้ก็มีงาน
ไปปักดำนากันบ้าง ไปเกี่ยวข้าวบ้าง
..เอ้า..ไปเห็นปลาอยู่ในนา
ก็เกิดอยากกินเนื้อมันขึ้นมาแล้ว
ก็ไปจับมันมาฆ่าต้มแกงกินเสีย
ทั้งที่รับศีลจากวัดไปหยกๆแล้ว
อย่างนี้มีอยู่ถมไป
เพราะฉะนั้นศีลอันนี้จึงชื่อว่าเป็น "ศีลชั่วคราว"
ชั่วระยะที่อยู่ในวัดนั่นแหละ
เมื่อออกจากวัดแล้วก็เอาส่งคืนพระไปหมดเลย
อย่างนี้นี่มันก็จะสมกับคำว่า..ที่ท่านเล่านิทานมา
เรื่อง "พรานคืนศีล" นั่นแหละ
พรานป่าคนนั้นไปรับศีลจากพระมาแล้ว
มาบ้าน เมียรู้เข้า เมียก็ไม่พอใจ
เลยบอกให้ผัวเอาไปส่งคืนพระ
ผัวก็เอาไปส่งคืน พระก็ฉลาดพอ..
ดู ! ศีลนี่ของพระพุทธเจ้านู่น
จะมาส่งอาตมาได้ยังไงล่ะ
ต้องเอาไปส่งคืนพระพุทธเจ้านู่นจึงค่อยได้
เอ้า..อุบาสกคนนั้นก็เดินทางไปแหละ
เมื่อพระบอกให้ว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นั้นแหละว่างั้น
ก็เดินทางไปเลย ไปพวกเจอเปรตเข้าไปหมู่หนึ่ง
เปรตพวกนั้นก็ถามไถ่ว่า อุบาสกคนนั้นจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ก็สั่งความไปว่า
เพราะอะไรหนอพวกข้าพเจ้านี้นะ
ครั้นวันแปดค่ำ สิบห้าค่ำ ได้อยู่ดีกินดี
สนุกสนานร้องรำทำเพลง
ไม่อดไม่อยาก อาหารการกินอะไรก็ได้
ครั้นเลยวันพระนั้นไปแล้ว เป็นวันธรรมดาแล้ว
มีเท่าแต่ทุบกันตีกัน ทะเลาะวิวาทกัน
อาหารการกินก็อดอยาก
ทำไมเป็นอย่างนี้หนอ..กรรมเวรอะไร?
ขอฝากความนี้ไปกับท่าน
ขอให้ท่านไปทูลถามพระพุทธเจ้าให้ด้วย
เมื่อชายคนนั้นไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็นำความอันพวกเปรตสั่งไว้นี่ไปทูลถามพระองค์
พระองค์ก็จึงรับสั่งว่า
คนเหล่านั้นน่ะ ตั้งแต่เป็นมนุษย์อยู่
ถึงวันแปดค่ำก็เข้าวัดกันทีหนึ่ง
ไปสมาทานศีล ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระเจ้าพระสงฆ์
ครั้นถึงวันสิบห้าค่ำก็เข้าวัดกันทีหนึ่ง
ไปรับศีล ฟังธรรม ถวายทาน
นอกจากวันพระแล้วก็พากันไปดื่มเหล้าเมาสุรา
เมื่อมึนเมาขึ้นมาแล้วก็ชกกันตีกัน
หัวร้างข้างแตกไป
ไม่ได้ทำบุญทำทาน ไม่ได้รักษาศีลเลยวันธรรมดา
นั่นแหละ เพราะฉะนั้นแหละ
คนเหล่านั้นตายแล้วจึงได้เกิดเป็นเปรตอยู่อย่างนั้น
แล้วก็ได้รับความสุขแต่วันแปดค่ำสิบห้าค่ำ
วันนอกนั้นแล้วก็เสวยทุกข์
เพราะว่าทำแต่บาปกรรม
นี่เป็นอันแสดงว่า บุญกรรมบาปกรรมนี่
มันยุติธรรมเอาซะจริงๆ นะ
เมื่อไปทำบุญวันแปดค่ำ สิบห้าค่ำ
ตายไปบุญมันก็ให้ผลในวันนั้นแหละ
วันธรรมดาไปทำบาป บาปมันก็ให้ผล
มันเป็นอย่างนั้น ก็ได้รับทุกข์ทนทรมาน
นี่แหละคนส่วนมากเท่าที่สังเกตเห็นมาเป็นอย่างนี้แหละ
มีศีลมีธรรมแต่เวลาเข้าวัดเท่านั้นเองนะ
ออกจากวัดไปแล้วศีลธรรมเอามอบคืนให้พระไปหมด
มีแต่ตัวเปล่าๆกลับไปบ้าน
พร้อมด้วยกิเลสตัณหาสารพัด
เพราะเหตุนั้นมันถึงได้ทำบาปกรรมใส่ตัวเองไว้
ไม่สามารถที่จะรักษาศีลให้สม่ำเสมอไปได้ง
ไอ้เรื่องการทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเลี้ยงอัตภาพร่างกายนี่
มันก็มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นู่นแหละ
แม้แต่ครั้งสมัยพระพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นในโลก
คนบางพวกบางเหล่ามันก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ลักเอาสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตน
ไปเล่นชู้สู่ชายอื่นหญิงอื่นซึ่งเป็นสามีหรือภรรยาของคนอื่น
เช่นนี้แหละ พูดเท็จ พูดคำหยาบ
พูดส่อเสียด เพ้อเจ้ออะไรกันไปอย่างนั้นแหละ
ดื่มเหล้า เมาสุรา อย่างนี้นะ
ถึงพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแท้ๆ
พระองค์ทรงแสดงธรรม แนะนำสั่งสอน
ให้ละเว้นบาปอกุศลเหล่านี้เขาก็ไม่เชื่อไม่ทำตาม
ไม่ว่าแต่คนชั้นต่ำ..คนชั้นสูงเช่น เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็ดี
เป็นเสนาอำมาตย์หมู่นี้ ก็ยังทำบาปเหล่านี้กันมีอยู่
แต่เท่าที่สังเกตดูแล้วก็ผู้ที่รับ
ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก
เพราะในครั้งนั้นคนมีบุญมากมาเกิด
คนได้ทำบุญกุศลมาแต่ชาติก่อนนู้นมาเกิดเป็นจำนวนมาก
เพราะว่าเป็นบริษัทบริวารของพระพุทธเจ้า
ได้สร้างบุญบารมีตามพระโพธิสัตว์มา
เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าได้มาตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก
คนเหล่านั้นก็ได้มาเกิดในยุคนั้นสมัยนั้น
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย!
อิฏฐารมณ์ ที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ที่หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า เป็นสุข
พระอริยเจ้าทั้งหลาย
เห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่านั่น เป็นทุกข์
นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย!
นิพพาน ที่โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ที่หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์เล็งเห็นว่า นี้ เป็นทุกข์
พระอริยะเจ้าทั้งหลาย
เห็นด้วยดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่านั่น เป็นสุข
นี้เป็นอนุปัสสนาข้อที่ ๒
ดูกรภิกษุทั้งหลาย!
ภิกษุผู้พิจารณาเห็นธรรมเป็นธรรม ๒ อย่าง โดยชอบเนืองๆ อย่างนี้
ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว
พึงหวังผล ๒ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง
คือ อรหัตตผลในปัจจุบันนี้ หรือเมื่อยังมีความถือมั่นเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ฯ
(๒๕/๔๐๖) ธรรมะ
ให้แก้ปัจจุบัน
"...ให้แก้ปัจจุบัน เมื่อแก้ปัจจุบันได้แล้ว
ภพทั้งสามนั้นหลุดหมด ไม่ต้องส่งอดีต อนาคต
ให้ลบล้างอารมณ์ภายนอกให้หมด จึงจะเข้าอารมณ์ภายในได้
เพ่งนอก.. เป็นตัวสมุทัย เป็นทุกข์ เป็นมิจฉาทิฐิ เพ่งใน.. เป็นสัมมาทิฐิ
เพ่งในตัว.. เป็นสัมมาทิฐิ..."
โอวาทธรรม : หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
บัดนี้จะได้แสดงธรรมเทศนาอันให้ฉายาว่า #ส่งท้ายปีเก่ารับเอาพรปีใหม่ เพื่อให้สมกับกาลนิยมดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ปีเก่าได้ล่วงเลยไปแล้ว ๗ วัน และได้รับปีใหม่เข้ามาแทนแล้วก็ตาม แต่ยังไม่ทันพ้นกาลซึ่งควรจะกล่าวถึงอยู่ เพราะคำว่าเก่านี้หมายถึงของที่ล่วงเลยมาแล้ว เช่นดังปีหนึ่งมี ๑๒ เดือนที่ล่วงไปแล้วนี้ เป็นต้น นี้ก็ล่วงมาแล้วเพียง ๗ วันเท่านั้น ไม่นานอะไรจึงสมควรจะกล่าวถึงอยู่โดยแท้
ความจริงเดือน ปี เป็นเรื่องของพระอาทิตย์ พระจันทร์และนักขัตฤกษ์เดือนดาว หากหมุนเวียนไปตามจักราศีของมันต่างหาก ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับมนุษย์ของเราเลย คนเราจะนับหรือไม่นับมันก็หมุนเวียนไปตามธรรมดาของมันอยู่เช่นนั้นตลอดกาลแต่ไหนแต่ไรมา โน้นมันเป็นมาตั้งแต่โลกเกิดโน้นก่อนเราเกิดเป็นไหนๆ ปีใหม่คนเราจะทำการสนุกหรือไม่ เดือนปีเขาก็ไม่เห็นมีการเดือดร้อนอะไร คนเราเสียอีกบางคนสนุกงานปีใหม่เที่ยวหลายๆ วันกระเป๋าแห้ง กลับบ้านไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ หน้าเศร้า หนักเข้าผัวเมียทะเลาะกัน ลูกเต้าพลอยเป็นทุกข์ไปด้วย บางคนเที่ยวสนุกจนเลยขอบเขตกลับบ้านไม่ถูก โน่นกว่าจะกลับได้ไปปรากฏตัวอยู่ที่เรือนจำโน้นก็มี
ที่เกี่ยวข้องกับคนเรานั้นก็คือ ความเสื่อมสูญอายุของคนเรา ซึ่งขึ้นอยู่กับวันคืน เดือน ปี ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องวัดแล้ว ก็ไม่สามารถทราบได้ว่า อายุชีวิตของคนเราหมดไปแล้วเท่าไร ได้กี่ปีกี่เดือนแล้ว มิใช่วัน คืน เดือน ปี จะมาสร้างฐานะร่ำรวยเกียรติยศชื่อเสียงให้แก่เรา นอกจากจะมาส่องแสงสว่างหรือทำความมืดให้แก่เรา เพื่อเราจะได้ประกอบกิจกรรมกระทำความดีเพื่อความผาสุกพลานามัยให้เจริญก้าวหน้า เมื่อประกอบกิจกรรมเหน็ดเหนื่อยพอควร มืดแล้วจะได้พักผ่อนหลับนอนเอากำลังไว้ทำงานต่อไป
ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ มีความต้องการความสุข ความร่ำรวย มีเกียรติยศชื่อเสียง มีบริษัทบริวารคนนิยมชมชอบมาก พยายามทุกๆวิถีทาง เพื่อให้สำเร็จผลอันนั้น แม้เกิดก็จะให้ได้ วัน คืน เดือน ปี ที่ดีๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ พอครรภ์แก่ถ้วนกำหนดแล้ว ไม่ว่า วัน คืน เดือน ปี อะไร มันไม่รอทั้งนั้น แม้แต่เวลาหรือสถานที่ไม่ว่าบ้านหรือป่า มันคลอดออกมาทั้งนั้น ผู้แม่ของเด็กเล่าก็มิได้คำนึงถึงเรื่องนั้นเลย อยากจะคลอดๆ ให้หมดทุกข์ร้อนไปเสียที
การแต่งงานก็ไม่เป็นไปตามปรารถนาอีก บางคู่หมั้นกันไว้แล้ว หาฤกษ์งามยามดีกี่หมอๆ ก็ไม่ได้สักที จนถึงกับเลิกร้างกันไปก็มี คู่ที่หาฤกษ์ได้ดีๆ เล่า บางทีอยู่กินด้วยกันไปไม่กี่วัน ต้องเลิกร้างกันก็มี หรือมิฉะนั้นอยู่ด้วยกันไปด้วยการเดือดร้อนระทมทุกข์ ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดวันยังค่ำก็มี บางทีสามีเป็นนักสุรา ภรรยาเป็นนักไพ่ ไม่มีเวลาประกอบสัมมาอาชีพ ความจนบีบบังคับหัวใจ เพราะรายได้ไม่พอแก่การประกอบอบายมุข ลูกเต้าตาดำๆเกิดขึ้นมาไม่เดียงสาอะไรกับพ่อแม่ก็พลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
ฉะนั้น วัน คืน เดือน ปี จึงมิได้ทำอะไรให้คนดีขึ้นมาเลย นอกจากตัวของเราเท่านั้นที่จะทำตัวของเราให้ดีขึ้น
งานปีใหม่ซึ่งคนไทยเราถือมีการทำบุญตักบาตร เพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับเอาพรปีใหม่นั้นเป็นการกระทำที่ดีแล้ว น่าสรรเสริญ ถึงแม้วัน คืน เดือน ปี เป็นเรื่องของการหมุนเวียนตามจักราศีของเดือนดาวดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่คนเรามาถือเอาพอเป็นเลิศทำความดีเท่านั้น หากไม่ยึดถือเอาเรื่องเหล่านั้นมาเป็นเครื่องหมายเสียแล้ว คนเราก็จะไม่รู้จักกาลเวลาซึ่งกันและกัน ดังวันงานปีใหม่ที่แล้วไปนี้ ต่างก็ทราบกันดีทุกๆ คน แต่จุดประสงค์ที่พวกเราจะทำความดีมิได้อยู่ที่วันขึ้นปีใหม่ อยู่ที่นิมนต์พระท่านมารับบิณฑบาตไทยทานของที่พวกเราพากันมาเตรียมไว้ เมื่อมารวมพร้อมกันในที่แห่งเดียวแล้ว นอกจากจะเป็นการแสดงความพร้อมเพรียงกันและเพื่อเป็นการรักษาประเพณีประจำปีของชาวพุทธแล้ว ยังเป็นเครื่องเพิ่มพูนประสาทศรัทธาของกันและกันอีกด้วย
ความจริงแล้วการทำความดี ย่อมทำได้ทุกๆเมื่อไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ การทำความชั่วก็เช่นเดียวกัน แต่การทำความชั่วให้เกิดอัปมงคล การทำความดีให้เกิดศิริมงคล สมกับพุทธนิพนธ์คาถาในสุปุพพัณหะสูตร ที่ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นนั้นว่า
สุนกฺขตฺตํสุมงฺคลํ ลภนฺตตฺเถ ปทกฺขิเณฯ
ซึ่งแปลใจความว่า เวลาที่สัตว์ประพฤติชอบ ชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี และขณะดี ครู่ดี บูชาดีแล้วในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเป็นประทักษิณ (ทำให้หนักแน่นเป็นเหมือนแขนส่วนเบื้องขวา) ความปรารถนาของท่าน (จึงจะ) เป็นทักษิณส่วนเบื้องขวา สัตว์ทั้งหลายทำกรรมอันเป็นประทักษิณ ส่วนเบื้องขวาแล้ว ย่อมได้ประโยชน์ทั้งหลาย อันเป็นประทักษิณเบื้องขวา ดังนี้
รวมความแล้วการที่จะต้องกระทำทั้งหมดด้วยกาย วาจา และใจ ถ้ากระทำให้เป็นประทักษิณ พร้อมด้วยองค์ ๓ นี้ คือ
มีความเพียรหนักแน่นเปรียบเหมือนความแข็งแกร่งของข้างขวา ๑
มีสติปัญญารอบคอบในการงานนั้นๆ ๑
ทำให้ถูกต้องกับกาลเวลานั้น ๑
แล้วการงานนั้นๆ ย่อมสำเร็จได้ผลเป็นที่พึงพอใจ ไม่ว่าการงานทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ทั้งดีและชั่ว แต่ในคาถานี้หมายเอาเฉพาะการงานที่ดีเป็นผลให้เกิดความสุข
งานปีใหม่นี้ก็เพื่อรับเอาพรความสุขปีใหม่ ส่งท้ายปีเก่าเหมือนกัน ฉะนั้นจึงควรพูดถึงพรอันเราทั้งหลายจะพึงได้รับในปีใหม่นี้ คืออะไร และอะไร ในปีเก่าที่เราทั้งหลายควรส่งเสียให้พ้นๆไป มิใช่อะไรก็รับเอาทั้งหมด และส่งเสียทั้งสิ้น
ศิริมงคลอันเป็นผลให้เกิดความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นแก่คนเราก็ต้องอาศัยการกระทำความดีด้วยกาย วาจา และใจ ให้เป็นประทักษิณดังแสดงมาแล้วมิใช่อยู่เฉยๆ เมื่อขึ้นปีใหม่วันที่ ๑ มกราคมแล้ว พรปีใหม่ก็จะเข้ามาสวมเอาเลย
พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ต่างก็มีจิตศรัทธา มีหน้าตาอันยิ้มแย้มแจ่มใสซึ่งแสดงถึงความสุขกายสบายใจยิ่งกว่าวันอื่นๆแล้วในวันนี้ การรอคอยตักบาตรอยู่นั้นนับว่าพากันได้รับพรปีใหม่ทั่วหน้ากันทุกคนแล้ว เมื่อพากันได้รับพรปีใหม่ วันที่ ๑ มกราคมฉันใด วัน เดือนต่อไปของปีใหม่ที่ย่างเข้ามาถึงนี้ก็ขอจงพากันทำอย่างนั้นให้ได้รับพรอย่างนั้นตลอดปีนี้เถิด จึงสมกับว่าเรารับพรปีใหม่แท้ มิใช่รับเอาวันเดียวจะคุ้มค่าตลอดปี เพราะโลกอันนี้มันมีความทุกข์มากกว่าความสุข ฉะนั้น รับเอาความสุขทีเดียว เอาไปใช้ตลอดจึงไม่คุ้มค่าเหมือนกับความหิวอาหารของคนเรา หิวมากกว่าความอิ่ม อิ่มไม่กี่ชั่วโมงหิวอีกแล้ว จำเป็นจึงต้องรับประทานอยู่บ่อยๆจึงจะคุ้มความหิว แล้วมีกำลังทำงานได้ ฉันนั้น
แต่พรสำหรับพวกเราจะพึงได้รับเพื่อความสุขตลอดปีนั้น มิใช่มีอย่างเดียว แต่ทำบุญตักบาตรเท่านั้น ความจริงมีอยู่มากมายหลายอย่าง เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นมาได้ ๑ ปี เรายังไม่ตาย มีชีวิตเหลือไว้ให้เราได้ทำความดีอีกก็ควรที่จะพากันยินดีกับการได้ของเรา แล้วสร้างความดีอันจะให้เป็นผลเกิดความสุขยิ่งๆขึ้นไป อย่าพากันประมาทปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปเสียเปล่า โดยมิได้ทำความดีอะไรทดแทนไว้เสียเลย
นอกจากการทำทานอันจะเป็นศิริมงคลให้เกิดผลความสุขแล้ว ยังมีอีกมาก ในที่นี้จะนำมาแสดงเพียง ๔ ข้อ พอเป็นอุทาหรณ์ที่จะนำมาให้เกิดพรความสุข ทั้งแก่ตนและคนอื่นด้วย
๑. ให้มีทาน การสละแบ่งปันของๆตนให้แก่คนที่ควรให้
๒. พูดไพเราะ ไม่เป็นเครื่องแสลงหูแก่คนอื่น
๓. จงทำแต่สิ่งที่จะให้เกิดประโยชน์แก่กันและกัน
๔. ทำตนให้สม่ำเสมอ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง
พรสี่ประการนี้ หากทุกคนนำไปเก็บไว้ใช้จนตลอดปีแล้ว อาจเหลือไว้ใช้ในปีต่อไปก็ได้ เพราะยิ่งใช้ก็ยิ่งงอกงามไม่หมดเหมือนอย่างสตางค์
ทาน การสละวัตถุสิ่งของแก่คนอื่น ถึงจะให้ไปของเราก็ยังไม่หมด นอกจากไม่หมดแล้ว เรายังได้ความอิ่มใจ ความเลื่อมใส ความสุขใจในการกระทำความดีของตน แล้วยังเป็นเครื่องสมานมิตรไมตรี เกิดความนิยมยินดีแก่ผู้ได้รับและผู้รู้ทั้งหลายอีกด้วย ความได้ทั้งหลายดังกล่าวมานี้ จะประทับแน่นแฟ้นอยู่ในดวงใจของเราไม่มีวันเสื่อมหายเลยตลอดวันตาย
วาจาที่พูดไพเราะ ก็ยิ่งดีเสิศ โดยที่เรามิได้ลงทุนแม้แต่สตางค์เดียว ขอแต่ให้พูดไพเราะ พูดจริง พูดแต่สิ่งที่มีประโยชน์ เว้นการพูดเท็จโกหก มารยาหลอกลวง เพ้อเจ้อ เหลวไหล หรือเสียดสีสับส่อให้เกิดความวิวาทกันแล้ว เราก็จะมีแต่ความสุขใจ ได้เพื่อนมิตรที่ดี มีศีลธรรมนำให้เกิดสันติสุขทุกเมื่อ
การงานไม่ว่าจะทำด้วยกาย ด้วยวาจา และใจก็ตาม ถ้ามุ่งแต่จะให้เกิดประโยชน์แก่กันและกันแล้วเว้นสิ่งอันจะให้เกิดโทษเสื่อมเสียและเดือดร้อนทั้งแก่ตนและคนอื่นเสีย โลกอันนี้ก็จะเป็นโลกสันติสุข เป็นโลกที่น่าอยู่อาศัยไม่ดิ้นรนต่อไปอีกแล้ว
มนุษย์ทั้งหลายที่เดือดร้อนดิ้นรนเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะมนุษย์เราเห็นแก่ตัว แล้วกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็นส่วนมาก ปราศจากความเห็นอกเขาอกเรา มันจึงได้เป็นอยู่เช่นนี้
ทำตนให้สม่ำเสมอในบุคคลนั้นๆ ในสิ่งนั้นๆ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ยกตนข่มเพื่อนเห็นคนอื่นสู้ตนไม่ได้ ใครจะคบค้าสมาคมเขาก็ทำเป็นทีว่าคบเพื่อเป็นสมบัติความรู้ไว้เท่านั้น แต่ในใจแล้ว เขาเกลียดขี้หน้าไม่อยากเห็นเลย การทำตนให้สม่ำเสมอ ย่อมได้รับความนิยมชมชอบในสังคมทั่วไป เป็นผู้ใหญ่คนก็รัก เป็นผู้น้อยเขาก็เอ็นดู ประชาชนย่อมช่วยบริหารรักษาเขาตลอดเวลา
พรทั้งสี่นี้ยังไม่ได้รับ หรือรับเอาไว้แล้วแต่ยังไม่ครบสี่ ก็ขอได้พากันรับเอานั้นเสีย ในปีใหม่นี้จึงจะมีความสุขอันแน่นอนถาวร ความสุขที่ได้รับหรือส่งเป็นของขวัญก็ดี สุขกินเลี้ยงปีใหม่ส่งท้ายปีเก่าก็ดี หรือสุขที่เที่ยวชมงานก็ดี เป็นความสุขไม่คุ้มค่าและไม่ถาวรอะไรนัก บางทีบางรายอาจสุขฝ่ายหนึ่ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งอาจดิบหรือไหม้ไปก็ได้ ใครจะตามไปรู้เห็น นี่เป็นการรับพรความสุขปีใหม่อย่างไม่ผิดหวัง หากเราไม่ประพฤติตนตามหลักให้เกิดความสุขสี่ข้อดังกล่าวมานั้นแล้ว จะไปขอพรจากคนเฒ่าคนแก่ หรือผู้ที่เราเคารพนับถือ เข้าวัดหาพระอาจารย์กี่อาจารย์ ก็เอาเถิด คงไม่สำเร็จผล นอกจากจะรักษาประเพณีอันดีงามไว้เท่านั้น
ส่วนปีเก่าที่เราส่งท้ายนั้นเล่า ก็โดยทำนองเดียวกัน คือว่าให้ตรวจดูความประพฤติของเรา ตามข้อปฏิบัติทั้งสี่ข้อที่ได้แสดงมาแล้วนั้น หากข้อใดเราได้ปฏิบัติมาถูกต้องดีแล้ว ก็จงรักษาไว้เพื่อเป็นพรปีใหม่ต่อไป และได้ชื่อว่าเราได้พรเหลือมาจากปีเก่าไม่ขาดทุน
•พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(พระอาจารย์เทสก์ เทสฺรํสี)
เช้าวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๖
ณ วัดเจริญสมณกิจ ภูเก็ต
อะไรเป็นเหตุแห่งความเวียนเกิด? "ความยึดถือ"
เป็นเราเป็นเขา เป็นตัวเป็นตน ยึดในดีไม่ดี อดีต อนาคต ปัจจุบัน
นี้เป็นเหตุให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร
เมื่อเรารู้ว่า เรื่องของโลกเป็นของไม่ดีจริง , จริงไม่ดี ดังนี้
เราก็ต้องไม่ไปยึดถือมัน ต้องปัดทิ้งให้หมด
เขาจะว่าเราดีหรือไม่ มันก็ไม่ใช่ของจริง
เพราะ "ดี" มันก็อยู่ที่ปากคนเล่า "ไม่ดี" ก็จริงอยู่ที่ปากคนพูด
ฉะนั้น เราจึงไม่ถือเอาทั้งหมดที่คนเขาว่า
ให้ถือเอา "ดีหรือไม่ดีที่ตัวเราเอง"
การทำดี-ไม่ดีนั้น ใครก็ไม่รู้ดีไปกว่าตัวของเราเอง
แม้แต่เทวดาก็ไม่รู้ดีไปกว่าเราได้เพราะมันเป็น "การรู้เฉพาะตัว"
ถ้าเรายังจะมัวเอาดี-ไม่ดีภายนอก จากคนอื่นอยู่แล้ว
ก็จะต้องประสบกับความทุกข์เดือดร้อนอยู่ร่ำไป
เพราะเป็นเรื่องของ "โลก" เป็นเรื่องของ "ความมีเขามีเรา มีตัวมีตน"
"เขา" นั้นมันเป็นเขาของสัตว์ป่า ของวัวของควาย ฯลฯ
"เรา" มันก็เป็นงาของสัตว์ งานั้นถึงจะเป็นของสูง
อยู่บนหัวของช้าง แต่มันก็ต้องต่ำลงดิน
ถ้าเราเอา "เขา" หรือ "งา" มาสวมใส่หัวของเราไว้
เราก็จะกลายเป็น "สัตว์ป่า" เช่นเดียวกัน
และถ้าเราเป็นวัวหรือควาย เราก็จะไม่พ้น
ถูกเขาจับไปฆ่าหรือถูกควายมันขวิด
ถ้าเราเอางามาใส่ ก็เปรียบเหมือนเราขึ้นไปนั่งบนคอช้าง
อาจจะถูกช้างมันแทงเข้าสักวันหนึ่ง
"ช้าง คือ ตัวอวิชชา" ถ้ามีช้าง มันก็จะต้องมีสัตว์อื่นด้วย
ถ้าเรามีช้าง เราก็ยังเป็น "ผู้มืด"
มองไม่เห็นของจริง ไม่เห็นแสงสว่าง
"ความจริง" อันนี้บางทีตัวเราเองเป็นผู้ปิดบังตัวเราเอง
คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือ เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้ ล้วนเป็น "สังขารปรุงแต่ง"
ไม่ใช่ของจริงของแท้ มีแต่ความแปรปรวนไม่แน่นอน
ถ้าเราเข้าไปติดไปยึดว่าเป็นจริงจังแล้ว
ก็ย่อมเป็นเหตุนำความทุกข์เดือดร้อนมาให้แก่ตัวเราเอง
"ความดี-ความชั่ว" ก็เช่นเดียวกัน
เขาจะว่าเราดี-ไม่ดีก็อย่าไปยินดี-ยินร้าย
ให้ถือเอาความจริงที่ตัวของเราทำเอง
ผู้ที่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีจิตใจสูง
เจริญขึ้นสู่ธรรมอย่างเต็มที่
ความดีของเขาก็ย่อมขยายตัวออกเอง
เหมือนกับดอกบัวที่บานเต็มที่อยู่ในสระ
ดอกก็ใหญ่ กลีบก็ขยายบาน ส่งกลิ่นหอม
คือความเย็นกระจายไปทั่ว
"ความเย็น" นี้คือ "ความสุข"
ตา-เราเห็นรูปที่ดีก็เป็นสุข รูปไม่ดีก็เป็นสุข
หู-จะได้ยินเสียงดีก็เป็นสุข เสียงไม่ดีก็เป็นสุข
ลิ้น-จะรับรสดีก็อร่อย รสไม่ดีก็กลืนอร่อย ฯลฯ
อารมณ์ต่างๆที่ผ่านมากระทบทั้งดีทั้งชั่ว
ต้อง "ทำใจให้เป็นกลาง" วางเฉยเป็น "ฉฬงฺคุเปกขา"
จัดเข้าอยู่ใน"มรรค"เป็นองค์โพชฌงค์
พระพุทธเจ้าท่านไม่ติดดีติดชั่ว
ไม่ข้องอยู่ในอารมณ์ภายนอกทั้งดี ชั่ว อดีต อนาคต ปัจจุบัน
ก็เป็นจิตที่หลุดพ้นจากอาสวะ เป็นจิตที่ตกอยู่ในกระแสของธรรม
มีความสุขเย็นเป็น "วิหารธรรม"เป็น "วิชาวิมุติ"
ผู้ใดปฏิบัติได้ขณะใดก็ย่อมได้รับผลเย็นในขณะนั้น
ไม่จำกัดกาลเวลา เป็น "อกาลิโก"
เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราพากันศึกษา
ให้รู้แจ้งชัดในเรื่องของ "โลก" และของ "ธรรม"
ให้เข้าใจส่วนใดเป็น "โลก" ก็ปัดทิ้งเสีย
ส่วนใดเป็น "ธรรม" ก็น้อมนำเข้ามาประพฤติปฏิบัติ
ผู้นั้นจักได้รับผล คือ "ความสงบ" เป็นความสุขเย็น
จะอยู่ที่ใดก็เป็นสุข จะไปไหนก็เป็นสุข
ปราศจากความเดือดร้อนทั้งปวง
ได้แสดงมาโดยย่อพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาความรู้
ก็พอสมควรแก่กาลเวลา ยุติเพียงเท่านี้
...
คัดลอกเนื้อหาจาก
หนังสือแนวทางวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน, พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร.
ขอเชิญร่วมบุญไถ่ชีวิตโค-กระบือ วันอาทิตย์แรกทุกเดือน วัดพระศรี บางเขน ประจำเดือนมกราคม
ศรัทธา คณะทำบุญทุกๆวัน
รายละเอียดตามโพสมีดังนี้ครับ
ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญทุกท่าน
กำหนดไถ่ชีวิตโคกระบือครั้งต่อไป
เริ่มพิธี เวลา ๑๑:๓๐น
ทางวัดรณรงค์ ให้สุภาพสตรีแต่งกายสุภาพในวันพิธี
ทางวัดขออณุญาติแจ้งกล่าว สำหรับสาธุชนที่ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพถวาย 1 ตัวขึ้นไป ถ้าท่านประสงค์ร่วมพิธีถวายในวันงานขอให้ท่านโทรศัพท์ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ทางวัดฯ เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้เตรียมเครื่องถวาย ให้กับท่านได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง ทางวัดต้องขออภัยที่งานครั้งก่อนได้จัดเตรียมชุดถวาย+สถานที่นั่ง ให้ท่านไม่ทั่วถึงเนื่องด้วยสาธุชนไม่ยืนยันการเข้าร่วมพิธี และเจ้าหน้าที่ทางวัด ก็มีจำนวนน้อยกว่าผู้มีร่วมงาน
ติดต่อทุกวันเวลา 8:30-17:00 น.
- โทร 02-521-1567, 02-521-5427
วัดป่าดงมักทอ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2549 โดยพระอาจารย์ ประไพ โอภาโส ได้รับการอนุญาตจาก สำนักพุทธศาสนา โดยมหาเถรสมาคม เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่ตั้ง บ้านพลังใหม่ ตำบลโพนงาม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร 47170
เนื่องจากเป็นวัดอยู่ห่างจากชุมชน การเดินเสาสายไฟฟ้า สาธารณูประโภค ยังไม่ถึง ญาติโยมท่านใดมีจิตเมตตา สามารถร่วมบริจาคได้ โทรติดต่อสอบถามได้
ครูบาศรีพร อิสิญาโน 0996561354 หรือ ฝ่ายฆราวาส คุณพ่อ เกษม 0908565975
ขอเชิญร่วมทำบุญไถ่ชีวิตโค-กระบือ ในเดือนกุมภาพันธ์
https://www.facebook.com/tingly.jer/pos ... 1117235215