นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 16 ม.ค. 2025 11:34 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


Switch to mobile style


โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: กายคตานุสติ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 08 มี.ค. 2016 5:32 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4804
กายคตานุสสติและอสุภกรรมฐาน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

ถ้าเรารักดีเกลียดโง่ เราก็ต้องการทิ้งวัฏฏะ การทิ้งวัฏฏะคือการทิ้งขันธ์ ๕ คือร่างกายเท่านั้น นี่การพิจารณาร่างกายที่พระอรหันต์ทุกองค์ต้องผ่าน หมายความว่าท่านที่เป็นพระอรหันต์น่ะต้องผ่านกรรมฐานกองนี้ ถ้าไม่ผ่านกองนี้ทั้งหมดจะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ก็คือกายคตานุสสติ มีการพิจารณากายร่วมกับอสุภกรรมฐาน สองอย่างควบกัน

ความจริงร่างกายไม่ใช่เป็นสภาพแท่งทึบ มันเป็นโพรงภายในเต็มไปด้วยจักรกล มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ มีกระดูก มีขี้ มีเยี่ยว น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสมหะ แล้วก็ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ตับ ไต ไส้ ปอด ร่างกายของเรามีสภาพอย่างนี้

ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรก โสโครก น้ำเลือด น้ำหนอง ขี้ เยี่ยว เป็นต้น เราเห็นว่ามันสกปรกหรือว่ามันสะอาด เห็นจะไม่ต้องตอบกัน ถ้าใครเห็นว่าสะอาดก็ตามใจ ฝืนความจริง ใจก็พ้นจากร่างกายไปไม่ได้ พ้นจากโลกไม่ได้

ในเมื่อของสกปรกมันอยู่ในร่างกาย เราจะเห็นว่าร่างกายเราสะอาดได้อย่างไร สิ่งทั้งหลายภายนอก เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรามองความสวยสดงดงามแค่หนังกำพร้า สิ่งที่มันหลอกตาเรา เราชอบหลอกตัวเอง เวลาจะโชว์ พออาบน้ำอาบท่าชำระร่างกาย ขัดสีฉวีวรรณ เอาโน่นมาแต้มนิด นี่มาแต้มหน่อย ทาโน่นนิดทานี่หน่อย หวีผมเสียให้เรียบร้อย เอาผ้าสีสวยๆ เอาเข้ามาแต่งร่างกาย

แล้วก็ไปส่องกระจก แล้วก็มาชมตัวเองว่าสวย นี่เราก็นั่งโกหกตัวเอง โกหกชาวบ้าน มันจะสวยที่ไหน ในเมื่อร่างกายของเรามีสภาพเหมือนกับส้วมเดินได้ ภายในเหมือนส้วม แล้วใครเห็นว่าส้วมสะอาดหรือส้วมสกปรก นี่เป็นอันว่าร่างกายของเราเต็มไปด้วยความสกปรก นี่มันเป็นความจริง ต้องพิจารณาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้เป็นอารมณ์เดียว

นี่ใจของเรานี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้หาความจริงของร่างกายให้พบ อันนี้แหละเป็นกรรมฐาน ถ้าเราปฏิบัติกองนี้กองเดียวจนจิตเป็น"เอกัคคตารมณ์" คือเป็นอารมณ์เดียว เรื่องการเป็น"พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์" มันก็เป็นของไม่ยาก มันจบกันกองนี้กองเดียวแหละถ้าเอาจริง



ติตนเอง

หมายความว่า เราต้องดูว่าเราเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทานมากหรือน้อย ก็ต้องดูใจของเราว่ายังติดหรือผิดศีลหรือเปล่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า เอ้อ..ลูกเอ้ย หนูเอ๋ย ถ้าเอ็งจะดีต้องติชาวบ้านเขานะ นึกถึงกฎของความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตำหนิใคร เพราะท่านรู้ว่าทุกคนที่เกิดมาแล้ว ที่เกิดมาเป็นตัวนี่มันไม่ใช่คนดีนะ คนเลว

พูดตามภาษาชาวบ้านแต่ความจริงและแท้จริงแล้วมันไม่ได้เลว ที่มันเลวเพราะมันมีเจ้านายต่างหาก เจ้านายมันเลว เจ้านายนี่ไม่ใช่ผู้บังคับการฝูงนะ เจ้านายคือกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม ที่มันสั่งสมสืบกันมา เราจึงต้องเกิด ไม่เช่นนั้นเราก็ไปนิพพานแล้ว ถ้าดีจริงๆ แล้วก็ต้องไปนิพพานแล้ว เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ประณามว่าชั่ว

แต่ว่าจะชั่วหรือดีอยู่ที่การปฏิบัติ เมื่อรับคำแนะนำแล้วยังไม่ปฏิบัติตาม ทีนี่แหละถือว่าชั่วแล้ว หรือว่าเขาชี้บอกว่านี่ขนม นี่กับข้าว นี่น้ำนะ เรานั่งหิวแทบตายแต่เราไม่กินก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ถ้าเราไม่เลวแล้วเราจะเลวเมื่อไร อีทีนี้ต้องยอมเลวน่ะ นี่ที่ว่ายอมเลวเพราะอะไร ก็เพราะว่าเขาให้เรากิน เขาบอกเราแล้วแต่เราไม่กิน ถ้าเราไม่กินหิวขึ้นมาแล้วเราจะไปโทษใคร ต้องโทษตัวเราเอง

ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านทรงทราบ ท่านไม่ทรงตำหนิ เห็นไหมท่านไม่ตำหนิแต่ท่านเตือนไว้ว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง และกล่าวโทษโจทความผิดของตนเอง ท่านไม่ได้บอกกล่าวโทษผิดติชาวบ้านเขา บอกให้ติตัวเอง ติตัวเองก็คือติอารมณ์ใจ ให้ดูอารมณ์ใจ

คัดลอกมาจากหนังสือคำสอน "ทางสายเอก" โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน







ขอเชิญทุกท่านร่วมฟังพระธรรมเทศนา
ในกิจกรรม”ฟังธรรมพระกรรมฐาน ครั้งที่ ๑๒”
ณ ธรรมสถานจุฬาฯ
ใน”วันจันทร์ที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙”
ณ ธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดย พระอาจารย์บุญทวี สีตจิตโต เจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย






ข้อคิด สะกิดใจ
โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
สุภัททะ ! ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรคมีองค์แปด
สมณะที่หนึ่ง (พระโสดาบัน) ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น;
แม้สมณะที่สอง (พระสกทาคามี) ก็หาไม่ได้;
แม้สมณะที่สาม (พระอนาคามี) ก็หาไม่ได้;
แม้สมณะที่สี่ (พระอรหันต์) ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น.

สุภัททะ ! ในธรรมวินัยนี้แล มีอริยมรรคมีองค์แปด
สมณะที่หนึ่ง (พระโสดาบัน) ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้;
แม้สมณะที่สอง (พระสกทาคามี) ก็หาได้;
แม้สมณะที่สาม (พระอนาคามี) ก็หาได้;
แม้สมณะที่สี่ (พระอรหันต์) ก็หาได้ในธรรมวินัยนี้.

สุภัททะ ! ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะพึงอยู่โดยชอบไซร้
โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย แล.

บาลี มหา. ที. ๑๐/๑๗๕/๑๓๘.





[อานุภาพพระคาถาชินบัญชร]

"มนุษย์มีแต่ความกลัวทั้งนั้น ย่อมหาที่พึ่งเป็นธรรมดา
พระคาถาชินบัญชรนี้ ที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลาน
เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองภัย คือ กำจัดมารภายใน
เมื่อภาวนามากๆแล้ว เลือดโยมก็จะบริสุทธิ์
นั้นเข้าถึงรสพระธรรมได้ง่าย เข้าถึงศีลได้ง่าย
แม้จะอยู่ในองค์ภาวนาก็ดี จะสาธยายมนต์ก็ดี
ย่อมกำจัดสิ่งที่เป็นอวิชชา หรืออัปมงคลทั้งหลาย
ดังนั้น ผู้ใดจะสวดก็ดี ภาวนาในใจก็ดี
ย่อมเป็นมงคล ย่อมเกิดสมาธิ
ย่อมเกิดญาณ ย่อมเกิดบารมี
ดังนั้น คาถาบทใดจะไม่มีความศักดิ์สิทธิ์
หรือขลังเลย
ถ้ามนุษย์นั้นไม่มีความศรัทธาในพระคาถา."

..(สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี)




เรื่องของคู่บุพเพสันนิวาส
กรรมที่หลายคนยินดีรับ

คำถามที่ว่าทุกคนต้องมีคู่หรือไม่
คำตอบตรงๆคือ ไม่จำเป็น
ถ้าจะถามแล้วควรมีหรือไม่
คำตอบคือ แล้วแต่จุดมุ่งหมาย

บุคคลที่อยู่ในระดับสูงของวิวัฒนาการแล้ว และมีคุณสมบัติเป็นมนุษย์พิเศษจำนวนมาก ที่ไม่มีคู่ชีวิต เช่น พระสารีบุตร พระโมคัลลานะ พระกัจจายนะ พระรัฐปาลและพระราหุล เป็นต้น แต่บุคคลเหล่านี้จะมีคู่ธรรมแทน

เช่นพระสารีบุตร เป็นคู่ธรรมกับพระโมคคัลลานะ จะเกิดด้วยกันเกือบทุกชาติ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งชาติสุดท้ายได้สำเร็จอรหันต์ในตำแหน่ง อัครสาวกด้วยกัน นับเป็นเพื่อนแท้อีกคู่หนึ่งในโลก หรืออย่างพระราหุล กับ พระนางอุบลวรรณา (กัณหา-ชาลี ในอดีตชาติ) เป็นคู่ธรรมกัน มักจะเกิดเป็นพี่น้องกันเกือบทุกชาติ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลการปฏิบัติธรรมของกันและกัน นับเป็นพี่น้องที่ยืนยาวมากอีกคู่หนึ่งในโลก บุคคลเหล่านี้ท่านไม่นิยมคู่ชีวิตเพราะยุ่งยาก ไม่เป็นอิสระ ไม่เอื้อต่อความสงบจึงมีคู่ธรรมแทน

บุคคลที่ควรจะมีคู่คือ ผู้ที่จะบำเพ็ญเพียรเป็นพระพุทธเจ้า บุคคลเหล่านี้จะต้องฝ่าความระกำลำบากนานาประการ เป็นสัตว์ทุกชนิด เป็นมนุษย์ทุกประเภท เป็นเทวดาทุกภพทุกภูมิ เป็นพรหมทุกชั้น ต้องเคยอยู่เคยเป็นทุกอย่าง เพื่อจะได้รู้แจ้งแทงตลอดธรรมชาติอย่างโปร่งปรุ

พระพุทธเจ้าเปรียบว่า ผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เสมือนคนที่เห็นทะเลกำลังเดือด แล้วประสงค์จะว่ายน้ำ ฝ่าทะเลเดือดเพื่อไปช่วยมหาชน ณ ฝั่ง ที่ยังมองไม่เห็น ใครมีความกล้าอุทิศตนถึงเพียงนี้ จึงอาจบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าได้ และในการบำเพ็ญตลอดทางอันไกลกันดารยาวนานนั้น มักจะทรงเลือกคู่บารมี เพื่อจะคอยเกื้อกูลประคับประคองกันในการปฏิบัติธรรม

หากจะถามว่า พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรอยู่นั้นกับคู่บารมีของพระองค์ มีทุกข์ระหว่างกันบ้างหรือไม่ ก็บอกได้เลยว่ามี มีมากกว่าคนธรรมดาด้วย เพราะความผูกพันธ์อันยาวนานจะฝังรากลึก เวลาสมหวังก็ดีใจลึกๆ เวลาผิดหวังก็เสียใจร้าวลึกเช่นกัน แต่คนที่จะเป็นคู่บารมีได้ จะต้องอุทิศชีวิตให้แก่กันและกันได้ และจะต้องมีอธิษฐานจิตกำกับทุกชาติไป ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงมักถูกคลี่คลายได้โดยไม่ยาก

แล้วคนทั่วไปล่ะ ควรมีคู่หรือไม่ เรื่องนี้แล้วแต่จดมุ่งหมายของแต่ละคน ถ้าท่านจะเอาดีเป็นผู้วิเศษ ก็ไม่ควรมี เพราะคู่จะบั่นทอนความผ่องใสของจิตใจของกันและกันระดับหนึ่งทีเดียว แต่ถ้าท่านจะเอาดีทางการปกครอง เป็นผู้นำของชุมชน การมีคู่ก็เป็นไปตามธรรมเนียมของโลก ที่ทำให้ท่านไม่เบี่ยงเบนจากสังคมจนเกินไป

สำหรับมนุษย์โดยทั่วไปที่ไม่ได้อธิษฐานเป็นคู่กันตลอดกาล มักจะพานพบและมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามอย่างสับสน ชาติหนึ่งอาจจะเป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง พออีกชาติหนึ่งไปเป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง ชาติอื่นอาจจะไปเป็นคู่ของคนอื่นอีกเรื่อยไป ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ทำความเข้าใจกันใหม่อยู่ร่ำไป ครั้นมาเจอคู่คนเก่าในชาติเดียวกันก็จะหลายใจ และมักมีปัญหาความสำส่อนตามมา อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งสิ้น จึงทำให้เกิด คู่กัด คู่กาม คู่กรรม ตามแต่กรณี

ประเภทของคู่
จากความสับสนในความสัมพันธ์ และความสำส่อนของบุคคลผู้ที่มิได้มีคู่แท้ถาวร ทำให้เกิดคู่ประเภทต่างๆมาพัวพันชีวิต กอปรกับคู่ถาวรของบุคคลที่มีคู่บารมี หรือคู่ธรรมจึงทำให้จำแนกประเภทคู่ต่างๆออกได้ห้าประเภท คือ คู่กัด คู่กาม คู่กรรม คู่ธรรม และคู่บารมี

คู่กัดคือ คู่ที่ผูกใจเจ็บ อาฆาตพยาบาท หรือสาปแช่งกันไว้ คู่ประเภทนี้ บางทีก็มาเป็นแฟนกัน บางทีก็มาเป็นพี่น้องกัน บางทีก็มาเป็นเพื่อนกัน บางทีก็มาเป็นคนรู้จักกันในฐานะต่างๆ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร จะมีความอิจฉาริษยา การแข่งขัน กีดกัน และทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เนืองๆ เช่น คู่พระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตต์ คู่ประเภทนี้ จะมีประโยชน์ประการเดียว คือช่วยให้เราได้ฝึกความดีในท่ามกลางความชั่ว

การแก้หรือขจัดคู่กัดเสียได้โดยเด็ดขาด สามารถทำได้โดยต่างฝ่ายต่างสำนึกถึงภัยของพยาบาทที่ ทำลายความสุขและเป็นทุกข์ทั้งคู่ แล้วละพยาบาท ถอนคำอาฆาตเสีย ขออภัยและให้อภัยแก่กันและกัน แล้วปรองดองกัน คือเปลี่ยนจากความเป็นศัตรูมาเป็นมิตรเสียนั่นเอง

คู่กามคือ คู่ที่มีกามสัมพันธ์กันแบบสักแต่ว่าเสพกามกันไป ไม่มีเจตนาผูกพันหรือเจตนาร่วมชีวิตกัน การมีคู่ประเภทนี้อาจเกิดได้โดยกิจกาม เช่นการเที่ยวโสเภณี หรือพวกฟรีเซ็กซ์ทั้งหลาย คู่ประเภทนี้เมื่อเจอกันอีกในชาติใดใด ก็จะมีใจกระสันเข้าหากัน แต่ไม่มีบุญหรือบาปรองรับ จึงไม่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง และมักเป็นคู่ที่เข้ามารบกวนหรือทำลายความสัมพันธ์ของคู่ที่แท้จริงเป็นระยะๆ ในลักษณะของคู่สัมพันธ์รูปแบบต่างๆ ซึ่งบางทีเป็นเหตุให้สูญเสียคู่ที่แท้จริงไป หรือแม้ไม่สูญเสียไปก็ทำให้อยู่กันไม่เป็นสุข เพื่อไม่ให้มีปัญหาแก่คุณค่าแห่งชีวิตคู่ จึงควรละคู่กามเสียให้พ้น

คู่กรรมคือ คู่ที่ได้ร่วมทำบุญหรือปาบมาด้วยกันทำให้มีกรรมพัวพันกัน ต้องมาเกิดมีความสัมพันธ์กันในฐานะต่างๆเช่น เป็น พ่อแม่ลูกกัน เป็นสามีภรรยากันบ้าง เป็นพี่น้องกันบ้าง เป็นครูอาจารย์กันบ้าง เป็นเพื่อนพ้องกันบ้าง เป็นคนรู้จักเกี่ยวข้องกันบ้างตามแต่กรณี ซึ่งในแต่ละชาติก็ไม่เหมือนกัน หมุนเวียนเปลียนไป ผลัดกันเป็น เช่นชาตินี้อาจเป็นแม่เป็นลูกกันชาติหน้าอาจกลับกัน เป็นลูกเป็นแม่กัน อีกชาติหนึ่งอาจเป็นศิษย์อาจารย์กัน ชาติถัดไปอาจเป็นเพื่อนกัน เป็นต้นคู่แบบนี้จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับกรรมที่ร่วมกันทำมาดังนั้น ควรหมั่นทำดีกับทุกคนรอบข้าง และสร้างกรรมดีร่วมกัน โดยพยายามหลีกเลี่ยงการทำเลวต่อกันและไม่ร่วมกันทำกรรมเลวใดใด ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายในชีวิตจะได้ดีต่อกัน ซึ่งจะเป็นการสานสร้างความสัมพันธ์อันอบอุ่น มั่นคงให้เกิดขึ้นได้

คู่ธรรมคือ คู่ที่ตั้งจิตอธิษฐาน ที่จะปฏิบัติธรรมร่วมกัน เกื้อกูลแก่กัน ซึ่งบางชาติอาจเกิดมาเป็นเพื่อนกัน บางชาติอาจเป็นพี่น้องกัน บางชาติอาจเป็นพ่อแม่ลูกกัน บางชาติอาจเป็นอาจารย์กับศิษย์ บางชาติอาจเป็นสามีภรรยากัน ถ้าเป็นสามีภรรยากันก็จะมีความเป็นกันเองเสมือนเพื่อนมากกว่า จะเป็นสามีภรรยาทั่วไป และบางคู่แต่งงานกันแล้ว ก็ไม่เสพกามกันเลยอยู่กันเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมกันไป ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่สะอาด คู่ประเภทนี้จะสนิทใจและไว้วางใจซึ่งกันและกันมาก ไม่ทำร้ายทำลายหรือเรียกร้องอะไรจากกัน มีแต่จะช่วยเหลือเกื้อกลูกัน

คู่บารมี คือ คู่ที่อธิษฐานจะบำเพ็ญบารมีร่วมกัน เผชิญสุขเผชิญทุกข์ด้วยกัน คอยประคับประคองปรองดองกันให้ถึงเป้าหมายสูงสุดอันแสนไกล คู่บารมีจะมีลักษณะเป็นเพื่อนแท้ที่ยอมตายให้แก่กันและกันได้ มีความเสียสละสูง มีความถาวร จะพบกันเกือบทุกชาติไป บางชาติก็อาจได้อยู่ด้วยกัน บางชาติก็อาจมีปัญหาไม่ได้อยู่ด้วยกันตามแต่กรรม แต่ก็จะเกื้อกลูกันทุกชาติไป คู่ประเภทนี้จะมีความผูกพันกันล้ำลึก เข้าใจกันได้ ความรักของคู่ประเภทนี้จะสะอาด จริงใจ เชื่อถือได้ แต่ก็มีปัญหาเล็กๆน้อยๆบ้าง ตามประสาคนที่จิตยังไม่บริสุทธิ์...




ขอเชิญร่วมสมทบปัจจัยถวายสร้าง โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัด สาลวนาราม(วัดหนองจอก) จ.อุทัยธานี
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 826&type=3




ขอเชิญร่วมบุญทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อขยายเขตไฟฟ้า ณ พุทธมณฑลพิษณุโลก อ.เมือง จ.พิษณุโลก
ในวันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 59 เวลา 14.29 น.
https://www.facebook.com/iam.hui.7/post ... 6733851541




พระอาจารย์ระพิน สีลธโร วัดหนองไร่ ต.เนินขี้เหล็ก อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ จากรายการเสียงธรรมสว่างใจ แจ้งข่าวงานบุญในรายการดังนี้

1. เจ้าภาพกองทุนรักษาสงฆ์อาพาธ ของหลวงปู่วันชัย ตันตสีโล อายุ 70 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคไต ตับติดเชื้อ และพบก้อนเนื้อที่ลำไส้ ปัจจุบันพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัดนครสวรรค์
- ร่วมบุญตามกำลังศรัทธา

2. เจ้าภาพบูรณะกุฏิสงฆ์ ของหลวงปู่วันชัย ตันตสีโล ณ วัดหนองไร่ จ.นครสวรรค์ ซึ่งทรุดโทรมมาก หลังคาสังกะสีผุพัง
- ร่วมบุญตามกำลังศรัทธา

3. เจ้าภาพกองทุนเสาเข็ม จำนวน 48 ต้น เพื่อสร้างฐานรากอุโบสถหลังแรก ณ วัดประคองราษฎร์ ต.เมืองยาง อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์
3.1 เจ้าภาพเสาเข็ม ต้นละ 13,000 บาท
3.2 เจ้าภาพบุญสามัคคี ทุนละ 1,000 บาท

4. เจ้าภาพซื้อที่ดิน วัดเนินขี้เหล็ก อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ จำนวน 4 ไร่ ไร่ละ 350,000 บาท
- ร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
ร่วมเป็นเจ้าภาพทุกรายการงานบุญกับ พระอาจารย์ระพิน สีลธโร โทร 087-105-4551


ขอเชิญทุกท่านร่วมทำบุญใส่บาตรและฟังการบรรยายธรรมพระวิปัสสนากรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๙ โดย… พระครูวัชรธรรมาจารย์ (พระอาจารย์จิรวัฒน์ อัตตรักโข)
(ลูกศิษย์ท่านหลวงปู่ฝั้น อาจาโร)
วัดป่าไชยชุมพล อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
ตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้า เวลา ๗.๓๐ น.
บรรยายธรรมเวลา ๑๒.๐๐ น. ณ ห้องชมรมพุทธทีโอที สำนักงานใหญ่ แจ้งวัฒนะ
https://www.facebook.com/kammatan.tot/p ... 48/?type=3





ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี
และร่วมถวายปัจจัยสมทบทุนสร้างวิหารหอคำมณี
พร้อมร่วมงานปฏิบัติธรรมประจำปี
วันที่ 15-20 มีนาคม 2559
ณ ที่พักสงฆ์วัดดงหนองตอบ้านทุ่งมณี ต.นาเลิง อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 64/?type=3


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO