Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

ความเป็นตัวตน

พุธ 09 มี.ค. 2016 8:59 am

ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง

หลวงพ่อปราโมทย์ : ดูลงไปนะ เวทนาไม่ใช่เรา ความสุขไม่ใช่เรา ความทุกข์ไม่ใช่เรา โทมนัสเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา โสมนัสเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา อุเบกขาเกิดขึ้นในใจไม่ใช่เรา ดูลงไปอีก ความโลภไม่ใช่เรา ใครเห็นความโลภเป็นเรา ไม่มีใครเห็นความโลภเป็นเราเลยแต่ชอบคิดว่าเราโลภ

เราโลภยังดูยากเลย ชอบคิดว่าคนอื่นโลภ ดูง่ายไหม โอ๊ย.. ไอ้นี่โลภมากนี่ รวยสี่หมื่นเก้าพันล้านแล้วยังไม่พอ จะเอาห้าหมื่นล้าน อะไรอย่างนี้นะ ดูคนอื่นโลภดูง่ายนะ ดูเราโลภดูยากขึ้นละ พอเราโลภนะ เราก็บอกว่า นี่ขยันหมั่นเพียร รู้จักหา รู้จักเก็บออม เป็นคุณธรรม พอเราโลภก็เป็นอย่างนี้ ดูคนอื่นโลภง่ายที่สุดนะ ดูเราโลภก็ยากขึ้นมาหน่อย ดูความโลภที่มันไม่ใช่เราเนี่ยนะ อัศจรรย์แล้วคราวนี้ ความโลภไม่ใช่เราหรอก ความโลภเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในใจ ไม่ใช่เรา จะเห็นเลย ความโลภไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่เราดูไปจนถึงตัวสภาวะแท้ๆ รูปธรรมนามธรรมแท้ๆ ดูไปถึงตัวรูปแท้ๆ รูปจะไม่มีเรา ดูไปถึงตัวเวทนาแท้ๆ เช่น ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ความรู้สึกสุขทุกข์จะไม่ใช่เรา ดูไปถึงตัวสังขารแท้ๆ เช่น ความโกรธ ใครเห็นความโกรธเป็นเรา ไม่มีนะ ถ้าเห็นตัวความโกรธแล้วจะรู้ว่าตัวความโกรธไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีปัญญาเห็นตัวความโกรธ ความโกรธครอบงำจิต จะรู้สึกว่าเราโกรธ

เราโกรธก็ไม่ค่อยเห็นอีก จะเห็นคนที่ทำให้เราโกรธ รู้สึกไหม ส่วนใหญ่ได้แค่นี้ เห็นไอ้นี่มันขับรถปาดหน้าเรา เห็นไอ้คนที่ขับรถปาดหน้า ไม่เห็นความโกรธในใจของตัวเอง ถ้าสามารถย้อนมาเห็นความโกรธในใจของตัวเองได้นะ จะเห็นอีก ความโกรธไม่ใช่เราหรอก เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา

เราภาวนานะ แยกธาตุแยกขันธ์ออกไป หรือแยกรูป แยกเวทนา แยกสังขาร แยกจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูออกมา เพื่ออะไร? เพื่อจะได้จะได้ถอนความเห็นผิด ว่าขันธ์ทั้งหลายนี้เป็นตัวเรา ขันธ์มันเป็นตัวเราขึ้นมาเพราะสัญญามันหลอก สัญญาที่วิปลาสมันหลอก แล้วก็ความคิดมันเกิดขึ้นมา สัญญามันเข้าไปหลอก มันหลอกว่ามีเรา สัญญามันเพี้ยนอยู่

เพราะฉะนั้นดูลงมา รูปไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา สังขารไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ดูไปเรื่อย.. ทีแรกจะเห็นก่อนนะ พอจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู จะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ความรู้สึกสุขทุกข์ไม่ใช่เรา กุศล-อกุศลทั้งหลายไม่ใช่เรา แต่ยังรู้สึกว่าจิตเป็นเราอยู่

ปุถุชนจะรู้สึกว่าจิตเป็นเราอยู่ แต่ว่าถ้าฝึกไปมากเข้าๆ จิตหลุดออกจาก “โลกของความคิด” ได้อย่างแท้จริง อยู่ใน “โลกแห่งความรับรู้” ได้จริงๆ ไม่ใช่อยู่ในโลกของความว่างเปล่านะ อยู่ในโลกของความรู้สึก โลกของความรับรู้ จะรู้สึกเลย ถ้าไม่มีความคิดอยู่นะ ถ้าจิตไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด ความเป็นตัวตนจะไม่เกิดขึ้น ความเป็นตัวตนเกิดจากความคิดเท่านั้นเอง คิดไปตามสัญญาที่เพี้ยนๆของเราเอง ความเคยชินมันไปหมายว่า นี่เราๆ ร่างกายเป็นเรา ไอ้โน่นเรา ไอ้นี่เรา คิดอย่างนี้ หมายรู้ผิดๆอย่างนี้นะ ก็คิดไปตามความเคยชิน ก็คิดไปตามการหมายรู้ว่ามีเราขึ้นมาจริงๆ

ค่อยฝึกนะ เบื้องต้นจะเห็นรูป เห็นร่างกาย เห็นเวทนา เห็นสังขาร ไม่ใช่เรา ฝึกกับหลวงพ่อสักเดือน สองเดือน จะเห็นตรงนี้แล้ว มันไปยากอยู่ตรงที่ยังเห็นว่าจิตยังเป็นเราอยู่

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม





"การปฏิบัติ ให้มุ่ง ปฏิบัติ เพื่อสำรวม เพื่อความละ เพื่อความคลาย ความกำหนัดยินดี เพื่อ ความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อ เห็นสวรรค์ วิมาน หรือ แม้ พระนิพพาน ก็ ไม่ต้องตั้งเป้าหมาย เพื่อ จะเห็น ทั้งนั้น ให้ ปฏิบัติ ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะ นิพพาน มันเป็น ของว่าง ไม่มีตัวตน หาที่ตั้ง ไม่ได้ หาที่เปรียบ ไม่ได้ ปฏิบัติไป จึงจะ รู้ เอง"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์





อินทรีย์ 5 คือ ธรรมที่ทำหน้าที่เป็นใหญ่ในอารมณ์

1. สันธินทรีย์ คือ ความศรัทธาเป็นใหญ่
2. วิริยินทรีย์ คือ ความเพียรเป็นใหญ่
3. สตินทรีย์ คือ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ปัจจุบันเป็นใหญ่
4. สมาธินทรีย์ คือ การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน
5. ปัญญินทรีย์ คือ ปัญญาทำหน้าที่เป็นใหญ่ด้วยการรู้แจ้ง



"เจ้าหญิงรูปนันทา" หรือ “นันทาเถรี” เป็นพระธิดาของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นพระขนิษฐภคินีของเจ้าชายนันทะ และเป็นพระน้องนางต่างพระมารดากับพระพุทธเจ้า เป็นผู้หลงในความงามของตน ออกบวชเป็นภิกษุณีโดยไม่ศรัทธา และได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดา ให้เป็นยอดของภิกษุณีทั้งหลาย "เอตทัคคะผู้ยินดีในฌาน”

พระนันทาเถรี เมื่อออกบวชแล้ว พยายามหลบเลี่ยงมิเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า พระทราบว่าพระพุทธเจ้า มักแสดงธรรมเกี่ยวกับรูปกายไม่สวยงาม ไม่คงทน ให้ปลง และวางเสีย จนวันหนึ่งพระนางตัดสินพระทัยเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรมจากองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระนางก็หลบนั่งอยู่หลังผู้อื่น แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณ จึงเนรมิตรหญิงงามที่งามยิ่งกว่าพระนางรูปนันทา อายุราว 16-17 ปี ถวายงานพัดอยู่ใกล้พระองค์ ใ้ห้เฉพาะพระนางรูปนันทาเท่านั้นที่เห็น และทรงเนรมิตให้รูปนารีนั้น ค่อยๆ เจริญวัยขึ้นตามลำดับ จาก 16 - 20 - 30 - 40 จน 80 และเริ่มเจ็บป่วย ดิ้นทุรนทุรายและตายไปในที่สุด ร่างที่เริ่มเน่าเปื่อย มีหนอนไช เน่าไม่น่าดู และกลายเหลือแต่กระดูก ในขณะที่รูปนารีนั้นเปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งเสียงที่ได้ยินเพียงพระนางนันทาเถรีเท่านั้น ให้พระนางดูรูป และคิดตามว่าร่างนี้ไม่คงทน มีแต่เน่าเปื่อยผุพัง ให้พระนางวางหยิ่ง ทนงในรูปของตนเสีย พระนางคิดตาม จนบรรลุพระโสดาบัน และยังคงเพ่งมองและคิดตาม จนสำเร็จพระอรหันต์ในที่สุด ด้วยการเพ่งอสุภะนั้นเอง

เมื่อจะทรงแสดงธรรม ด้วยอำนาจธรรมเป็นที่สบายแห่งพระนาง ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า

"นันทา เธอจงดูกายอันกรรมยกขึ้น อันอาดูร ไม่สะอาด เปื่อยเน่า ไหลออกอยู่ข้างบน ไหลออกอยู่ข้างล่าง ที่พาลชนทั้งหลายปรารถนากันนัก; สรีระของเธอนี้ ฉันใด สรีระของหญิงนั่น ก็ฉันนั้น, สรีระของหญิงนั่น ฉันใด สรีระของเธอนี้ ก็ฉันนั้น:

เธอจงเห็นธาตุทั้งหลายโดยความเป็นของสูญ อย่ากลับมาสู่โลกนี้อีก เธอคลี่คลายความพอใจในภพเสียแล้ว จักเป็นบุคคลผู้สงบเที่ยวไป"

ลำดับนั้น พระศาสดาเพื่อจะตรัสสุญญตกรรมฐาน เพื่อต้องการอบรมวิปัสสนาเพื่อมรรคผลทั้งสามยิ่งขึ้นไปแก่พระนาง จึงตรัสว่า

"แน่ะนันทา ในสรีระนี้ไม่มีสาระแม้มีประมาณน้อยเลย กายนี้มีเนื้อและเลือดฉาบทาไว้ เป็นที่อยู่ของชราเป็นต้น เป็นเพียงกองกระดูกเท่านั้น ดังนี้" แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า

"สรีระอันกรรมทำให้เป็นนครแห่งกระดูกทั้งหลาย ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต เป็นที่ตั้งลงแห่งชรา มรณะมานะ และมักขะ"
ในกาลจบเทศนา พระนางรูปนันทาเถรีได้บรรลุพระอรหันต์






การอบรมเมตตาเพื่อให้เกิดขันติ มีสติเป็นตัวสำคัญ เมื่อใจจะหวั่นไหวด้วยความไม่ชอบใจ ด้วยความโกรธ พึงมีสติระลึกรู้ให้ทัน ปรามตัวเองให้ทัน ด้วยบอกแก่ตัวเองอย่างจริงใจว่า มีเมตตาไม่พอ
ถ้าเมตตาพอก็จะเมตตาผู้ที่ทำให้ใจเกิดความหวั่นไหว จะเข้าใจที่เขาพูดเขาทำเช่นนั้น อันไม่ถูก ไม่ชอบ ว่าเพราะจิตใจเขาอยู่ในระดับนั้น อันจะฉุดลากเขาให้ลำบากสถานเดียว ควรเมตตาเขานัก
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก




สรุปสาระยอดธรรมยอดกถาสูตร

การหมั่นฝึกฝนอบรมจิต กำหนดจิตให้ตั้งมั่น
มีความเคยชินกับการ

“ไม่มีธรรมทั้งภายใน ไม่มีธรรมทั้งภายนอก
ไม่มีธรรมที่ล่วงมาแล้ว ไม่มีธรรมที่ยังมาไม่ถึง
และไม่มีธรรมที่กำลังตั้งอยู่
ทำจิตให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ"
และเมื่อนั้น ก็จะพบความวิมุตติ หลุดพ้นโดยง่าย

(ปวงสังขตะ คือ สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง ทั้งรูปธรรม และนามธรรม)

พระนิพพานนั้น ไม่ได้อยู่ไกลเกินที่จะเอื้อมถึง เพราะแท้จริงแล้วอยู่ที่ใจของเรานั่นเอง

หลวงพ่อดาบส สุมโน
อาศรมไฝ่มรกต จ. เชียงราย




หลวงพ่อจรัญท่านมีวิธีการสอนวิปัสสนากรรมฐานที่เข้าใจง่าย...
ตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปี ที่หลวงพ่อเพียรพยายามสอนกรรมฐานทำให้ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ลูกศิษย์ของท่านมีบ้างที่อยากเห็นผลของการปฎิบัติเร็วๆบางคนเมื่อปฎิบัติไปได้ซักพักก็ท้อแท้
เวลาหลวงพ่อเรียกมาสอบอารมณ์ก็มักจะบ่นให้หลวงพ่อฟังเสมอว่ายากว่ามีเวทนามากบ้างปฎิบัติไปซักพักก็อ้างโน่นอ้างนี่ว่าทางบ้านมีปัญหาบ้างมีงานต้องรีบกลับไปสะสางบ้างสุดท้ายก็มักลงท้ายด้วยคำที่ว่า...
"การทำความดี สร้างความดี นี้ยากจริงๆ"
หลวงพ่อจึงให้ข้อคิดไว้ว่า...
"การทำความดีมันไม่ยากหรอก ทำความดีบ่อยๆเดี๋ยวมันก็ชินไปเองยากแท้แต่ไม่เคยถ้าเคยแล้วง่ายแท้"

ที่มา : หนังสือธรรมวิธีการแก้ปัญหา (พระธรรมสิงหบุราจารย์)




โอวาทตถาคตแก่ท่านพระอาจารย์มั่น‬
พระพุทธองค์เสด็จมาในสมาธินิมิต แล้วประทานพระโอวาทอนุโมทนาแก่ท่านพระอาจารย์มั่นมีใจความว่า

" เราตถาคตทราบว่า เธอพ้นจากอนันตรทุกข์ในที่คุมขังแห่งเรือนจำของวัฏฏทุกข์ จึงได้มาเยี่ยมอนุโมทนา ที่คุมขังแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารและแน่นหนามั่นคงมาก มีเครื่องยั่วยวนให้เผลอตัวและคิดอยู่รอบตัวไม่มีช่องว่างจึงยากที่จะมีผู้แหวกว่ายออกมาได้ เพราะสัตว์ในโลกจำนวนมากไม่ค่อยมีผู้สนใจกับทุกข์ที่เป็นอยู่กับตัวตลอดมาว่า เป็นสิ่งที่ทรมานและเสียดแทงร่างกายจิตใจเพียงใด พอจะคิดเสาะแสวงหาทางออกด้วยวิธีต่าง ๆ เหมือนคนเป็นโรคแต่มิได้สนใจกับยา ยาแม้มีมากจึงไม่มีประโยชน์สำหรับคนประเภทนั้น

ธรรมของเราตถาคตก็เช่นเดียวกับยา สัตว์โลกอาภัพเพราะโรคกิเลสตัณหา ภายในใจเบียดเบียนเสียดแทง ทำให้เป็นทุกข์แบบไม่มีจุดหมายว่า จะหายได้เมื่อไร สิ่งตายตัวก็คือโรคพรรค์นี้ถ้าไม่รับยาคือธรรมะจะไม่มีวันหายได้ ต้องฉุดลากสัตว์โลกให้ตายเกิดคละเคล้าไปกับความทุกข์กายทุกข์ใจ และเกี่ยวโยงกันเหมือนลูกโซ่ตลอดอนันตกาล "

พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทต่อไปว่า ธรรมะแม้จะมีเต็มไปทั้งโลกธาตุก็ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ไม่สนใจนำไปปฏิบัติรักษาตัวเท่าที่ควรจะได้รับจากธรรมะ

" ธรรมะก็อยู่แบบธรรมะสัตว์โลกกูหมุนตัวเป็นกงจักรไปกับทุกข์ในภาพน้อยภาพใหญ่แบบสัตว์โลก โดยไม่มีจุดหมายปลายทางว่าจะสิ้นสุดทุกข์กันลงเมื่อใด ไม่มีทางช่วยได้ ถ้าไม่สนใจช่วยตัวเอง โดยยึดธรรมะมาเป็นหลักใจและพยายามปฏิบัติตาม "

พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เพิ่มจำนวนองค์และสั่งสอนมากมายเพียงใด ผลที่ได้รับก็เท่าที่โรคประเภทคอยรับยามีอยู่เท่านั้น

ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใด มีแบบตายตัวอย่างเดียวกันคือ สอนให้ละชั่ว ทำดี ทั้งนั้น ไม่มีธรรมพิเศษและแบบสอนพิเศษไปกว่านี้ เพราะไม่มีกิเลสตัณหาพิเศษในใจสัตว์โลกที่พิเศษเหนือธรรมซึ่งประกาศสอนไว้เท่าที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทานไว้แล้ว เป็นธรรมที่ควรแก่การรื้อถอนกิเลสทุกประเภทของมวลสัตว์อยู่แล้ว นอกจากผุ้รับฟังและปฏิบัติตามจะยอมแพ้ต่อเรื่องกิเลสตัณหาของตัวเสียเอง แล้วเห็นธรรมเป็นของไร้สาระไปเสียเท่านั้น

ตามธรรมดาแล้วกิเลสทุกประการต้องฝืนธรรมดาดั้งเดิมคนที่คล้อยตามมัน จึงเป็นผู้ลืมธรรมะไม่อยากเชื่อฟังและทำตาม โดยเห็นว่าลำบากและเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนชอบ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นโทษ

พระเพณีของนักปราชญ์ผู้ฉลาดมองการณ์ไกลย่อมไม่หดตัวมั่วสุมอยู่เปล่าๆ เหมือนเต่าถูกน้ำร้อนไม่มีทางออก ต้องยอมตายในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน โลกเดือดพล่านอยู่ด้วยกิเลสตัณหาความแผดเผาไม่มีกาลสถานที่ ที่พอจะปลงวางลงได้ จำต้องยอมทนทุกข์ทรมานไปตามๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์อยู่บนอากาศและใต้ดิน สิ่งแผดเผาเร่าร้อนอยู่กับใจ ความทุกข์จึงอยู่ที่นั่น





"ใครทำดีวันใด ให้ทานวันใด
เจริญภาวนาหรือรักษาศีลเมื่อใด
เป็นคุณงามความดี จะปรากฏผลตลอดเวลา
ให้เดินตามตถาคตเจ้า ไปอย่างนี้"
โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน





" นิพพานท่านก็สอนไว้ในเบื้องต้น
ในธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร
ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค ก็เห็นทุกข์ก่อน
มันจึงรู้จักที่จะค้นหาต้นเหตุว่า..
อะไรทำให้เกิดทุกข์.. ก็เลยค้นหาเหตุตัวนั้น

เพราะรู้เหตุก็ดับ ..ก็ดับที่เหตุ เป็นนิโรธนี้
พูดง่าย ๆ นะกำลังปฎิบัติอยู่หาวิธีดับทุกข์อยู่
กำลังเจริญก็เป็นมรรค เป็นหนทางกำลังเดินทางอยู่
เดินทางตามเส้นนั้น พระพุทธเจ้าสอนไว้ไปเส้นใหม่มันผิด
มันผิดเหมือนกับคนอ่านหนังสือไม่ได้ เข้าใจมั๊ย

เขาเขียนป้ายไว้นะนี่ว่า..อย่าไปนะทางเส้นนี้มีเสือนะ
มีโจรปล้นเก่งนะ อ่านหนังสือไม่่ได้่ก็เดินหลงไป
ไปก็เสือกินตาย กิเลสกินตาย ."

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่




พลังอำนาจของกระแสจิตและสมาธิ‬
พระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนาว่า“จิตของผู้ใดเปรียบด้วยภูเขาตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่กำหนัดในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่โกรธเคืองในอารมณ์ เป็นท่ีตั้งแห่งการโกรธเคือง จิตของผู้ใดอบรมแล้วอย่างนี้ ทุกข์จักถึงผู้น้ันแต่ท่ีไหน ฯ

ถ้าในปัจจุบันก็มีเรื่องหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เข้าสมาธิ นกเค้าแมวมาร้องก๊อกแก๊ก “มาร้องอะไร” ได้ยินเสียงแว๊บ นกเค้าก็หายไป ตื่นขึ้นมาตอนเช้า นกเค้าแมวก็ตายแล้วในที่ใกล้ทางจงกรม ความร้อนแรงของสมาธิ ถึงขนาดน้ัน ...พูดเรื่องสมาธิหายใจหรือไม่หายใจ พระสารีบุตรคล้าย ๆ หลวงปู่ฝั้น อย่าไปทำ อย่าไปคิด อย่าไปวิตก

มีอยู่ 2 ครั้ง หลวงปู่ฝั้นท่านเล่าเรื่องนกมาร้องที่ภูระงำ จังหวัดขอนแก่น ท่านจึงเตือน ลูกศิษย์ลูกหา เตือนหลวงพ่อพวง หลวงปู่แปลงฯ ขณะภาวนาสมาธิอย่าไปคิด เสียงอะไรก็ปล่อยไป อย่าไป วิตกวิจารณ์ เวลาจะมีสมาธิ มันแรงมาก

หลวงปู่จันทร์ เขมปตฺโต ภูเวียง ท่านก็พูดเหมือนกัน คราวที่องค์ท่านอยู่ถ้ำเป็ด ...เขาตีกลอง แตรสมัยก่อน เสียงดังสนั่นในเทศกาลบุญพระเวส ท่านคิดว่า “เสียงกลองสนั่น รบกวนเราเสียจริง” ท่านอยู่ในสมาธิ เพียงท่านปริวิตก เท่าน้ัน หน้ากลองทะลุ ตื่นเช้ามา ท่านออกไปบิณฑบาต เขากลัว ท่าน พากันหามกลองขาดวิ่งหนีกระเจิง กลองที่ทำด้วยหนังควายท่ี ว่าหนา มันยังทะลุ ท่านทั้งหลายคิดดูเถอะว่ากระแสจิตน้ี มันแรง เพียงใด ๏

หนังสือ หลวงปู่ทองพูล สิริกาโม.• พระอริยเจ้าผู้มีจริยาวัตรอันงามยิ่ง





“ ผู้ปฏิบัติพึงใช้ อุบายปัญญา
ฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ ถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม
คืออาศัยการกำหนด พิจารณาธรรม
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีปรากฏอยู่
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีอยู่
ได้ยินอยู่ สัมผัสอยู่ ปรากฏอยู่
จิตใจเล่าก็มีอยู่ ความนึกคิด
รู้สึกในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดี และร้าย ก็มีอยู่
ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอก ภายใน
ก็มีอยู่ ธรรมชาติ อันมีอยู่โดยธรรมดา
เขาแสดงความจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ให้ปรากฏ อยู่ทุกเมื่อ
เช่น ใบไม้มันเหลือง หล่นร่วงลงมา
พินิจพิจารณาด้วย สติปัญญาโดยอุบาย
มีอยู่เสมอแล้ว ชื่อว่า ได้ฟังธรรมทุกเมื่อแล...”
(โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)







ขอเรียนเชิญท่านสาธุชนทั้งหลาย ร่วมบุญและร่วมเทหล่อรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ขนาดเท่าองค์จริงในอริยาบทนั่ง ด้วยเนื้อสำริด โดยมีส่วนประสม ทอง เงิน ทองแดง ทองเหลือง
โดยจะมีพิธีเทหล่อในวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๖.๓๙ น. ที่บริเวณลานจอดรถลานช้าง
ทางวัดจะดำเนินการหล่อเพียงแค่ 2 องค์ เพื่อนำไว้ที่วัดอัมพวันและศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวันขอนแก่น ให้ญาติโยมได้กราบสักการะ
โดยในพิธีได้รับเมตตาจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุทธชินวงศ์ กรรมการมหาเถระสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร มาเป็นประธานในพิธี
โดยท่านสามารถร่วมทำบุญในการเทหล่อครั้งนี้ได้ที่บัญชีเดี่ยวกับบัญชีเพื่อสร้างเจดีย์
ธนาคารกสิกรไทย บัญชีออมทรัพย์
ชื่อบัญชี "วัดอัมพวัน เพื่อสร้างเจดีย์"
เลขที่ 009-1-72315-8
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองอำนวยการงานบำเพ็ญกุศลหลวงพ่อจรัญฯ โทร. 06-2306-1831, 06-2306-1832, 06-2306-1833




โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน
"สามเณรใจเพชร รุ่น ๒๒"
ถวายกุศลแด่พระธรรมสิงหบุราจารย์

โดยยุวพุทธฯบ้านแห่งธรรม
เชิญชวนน้องๆเยาวชนชายที่สนใจ
อยากจะบรรพชาเป็นสามเณร

(สำคัญมาก)จดหมายถึงผู้สมัครสามเณรใจเพชร
http://ybat.org/…/backoffice/mydownload/Jp22_letter_2559.pdf

สมัครได้ที่ www.ybat.org/apply
รายละเอียดเพิ่มเติม http://ybat.org/v5/samanen.php
******************
‪#‎ยุวพุทธฯบ้านแห่งธรรม‬
‪#‎สร้างคนสร้างที่ใจ‬
โทรศัพท์ ๐-๒๔๕๕-๒๕๒๕
แฟนเพจ https://www.facebook.com/ybatpage
เว็ปไซต์ http://www.ybat.org/



ขอเชิญร่วมบุญถวายพระเจดีย์ปิดทองลงยาเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 59/?type=3


ผ้าป่าวันเกิดสร้างตึกสงฆ์ ที่รพ. จักรราช ขนาด 60 เตียง จ.นครราชสีมางบประมาณ 30 ล้านบาท
https://www.facebook.com/permalink.php? ... 7279245517





เรียนเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธา ร่่วมบุญเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเช้า-เพล และ น้ำดื่ม
โครงการฝึกอบรมเจ้าอาวาสใหม่ รุ่นที่ ๒๐ จำนวน ๓๓๔ รูป ประจำปี ๒๕๕๙ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ระหว่างวันที่ ๘ - ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙
https://www.facebook.com/watphichaiyat/ ... 4752582453





ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างโรงอุโบสถวัดห้วยพรหม ต.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
ติดต่อสอบถามได้ที่
พระครูประโชติสังฆกิจ เจ้าอาวาสวัดห้วยพรหม โทรศัพท์ ๐๘๑-๗๙๐-๕๘๓๑
https://www.facebook.com/profile.php?id=100001887966936




ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพเทถนนเข้าวัดป่าเมตตาวนาราม บ้านทุ่งมะฝาง ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เขียงราย
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 82/?type=3




พระครูสุธีปริยัติโกศล (พระมหา ดร.มนัส กิตติสาโร) วัดมัชฌิมวัน บ้านดงกลาง อ.เขาสมิง จ.ตราด จากรายการเสบียงบุญ แจ้งข่าวงานบุญในรายการดังนี้
1. เจ้าภาพเททองหล่อพระร่วงโรจนฤทธิ์อุดมลาภ ทรงยืน ความสูง 2.50 เมตร เพื่อนำไปประดิษฐานที่วัดมัชฌิมวัน จ.ตราด
1.1 เจ้าภาพประธานหลัก 40 กองทุน กองทุนละ 10,000 บาท
1.2 เจ้าภาพประธานร่วม 40 กองทุน กองทุนละ 5,000 บาท
โดยจะมีงานเททองหล่อพระ ณ วัดสวัสดิวารีสีมาราม ในวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2559 เวลา 18.09 น.
ร่วมบุญกับพระครูสุธีปริยัติโกศล
โทร 087-919-2020



ขอเชิญร่วมบุญเป็นเจ้าภาพโคมไฟคริสตัล ถวายแด่
สมเด็จพระพุทธสิขีทศพลญาณที่ ๑ (สมเด็จองค์ปฐม)
ณ วิหารสมเด็จพระพุทธสิขีทศพลญาณที่ ๑
สถานปฏิบัติธรรมศาลาพุทธปฐม เชียงใหม่
อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่




ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายพระแก้วแดง และพระไตรปิฎกพร้อมตู้พระไตรปิฎก ถวายวัดพระศรีอารย์ จ.ราชบุรี
ในวันที่ 3 เมษายน 2559
ชื่อบัญชีนายอุรุชา มหาดำรงค์กุล ธ.ไทยพาณิชย์ ออมทรัพย์ เลขที่ 2682069448
ปิดรับร่วมบุญวันที่ 31 มีนาคม 2559
https://www.facebook.com/uracha.mahadum ... 2982908574




เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพช่อฟ้าอุโบสถเอกสามัคคี ณ วัดมาบลูกจันทร์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง
ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่
061-4616499 คุณเปา
ตอบกระทู้