Switch to full style
พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตอบกระทู้

วิปัสสนาจิตสงบ

เสาร์ 30 ก.ค. 2016 8:45 am

พระกลางลาน
พิธีการสร้างพระกลางลานมีอยู่ครั้งหนึ่งทางวัดสะเเกต้องการสร้างพระโดยทำพิธีกลางาลนวัดโดยหลวงปู่สีพินทสุวัณโณเป็นประธานในการทำพิธีพุทธาภิเษกพร้อมด้วยคณาจารย์อีกหลายท่านอาทิเช่นหลวงพ่ออั้นวัดพระญาติเป็นต้นหลวงปู่สีเป็นคณาจารย์ซึ่งมีพลังจิตสูงเเต่ในการศึกษาเบื้องเเรกของท่านท่านจะทำไปในลักษณะทางพราหมณ์เนื่องจากการร่ำเรียนของท่านท่านคิดว่าพรหมนั้นหน้าจะเป็นอมตะเป็นสิ่งสูงสุดหลวงปู่ดู่ได้เล่าว่าเราก็มาคำนึงถึงของที่ออกไปให้ญาติโยมบูชานี้ต้องดีจริงมิเช่นนั้นจะมีผลเสียเเก่วัดสะเเกคือเจตนาของท่านคือรักษาศักดิ์ศรีของวัดสะเเกในฐานะที่หลวงปู่ดู่อาศัยในวัดสะเเกด้วยดังนั้นท่านจึงคิดหาวิธีจะช่วยเหลือพิธีในครั้งนี้ท่านเล่าว่า ( ฉันก็ตั้งจิตอภิฐานให้สายไฟที่ออกไปจากกุฎินี้เป็นสายสิญจน์ เพราะสมัยก่อนกุฎิของฉันเป็นศูนย์ รวมที่จ่ายไฟออกไปยังที่ต่างๆ )
เมื่อพิธีพุทธาภิเษกผ่านไปอีกหนึ่งวันหลวงปู่สีเดินมาที่กุฎิหลวงปู่ดู่เเล้วท่านพูดขึ้นว่า ยวง ไปถามหลวงปู่ทวดทีว่า ใครเอาอะไรไปครอบให้พระของข้า (ยวงมีศักดิ์เป็นหลานของหลวงปู่ดู่) หลวงปู่ดู่จึงยกมือขึ้นไหว้หลวงปู่สีเเล้วกล่าวว่า หลวงพี่ครับผมเองเป็นคนเอาวิมานเเก้วพระพุทธเจ้าไปครอบให้ หลวงปู่สีไม่พูดว่าอะไรเเล้วจึงเดินกลับกุฎิ หลวงปู่ดู่บอกว่า ผู้ที่เขามีความรู้เเล้วเขามาเห็นสิ่งที่เราอธิษฐานลงไป เขาย่อมที่จะมีไหวพริบที่จะศึกษาต่อไป เเสดงว่านักปราชญ์ย่อมที่จะศึกษาผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า เเละอาจารย์ศุภรัตน์จึงเรียนถามไปว่าหลวงปู่สีได้ศึกษาจากไหนมาศึกษาจากหลวงปู่ดู่หรืออย่างไรท่านบอกว่าท่านก็ศึกษาจาก( พระ) ที่ท่านอธิฐานไปนั้นเองตั้งเเต่นั้นหลวงปู่สีได้บอกกับคณะศิษย์ของ ท่านบอกว่า ให้ปฎิบัติตามอาจารย์ดู่เพราะท่านดำเนินถูกทางรู้วิธีการหลวงปู่สีนับเป็นเกจิอาจารย์อีกหนึ่งท่านที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อกลั่น
เมื่อพิธีพุทธาภิเษกเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่สีจึงมาตรวจพระอีกหนึ่งครั้งว่าการปลุกเสกมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องตรงไหนจะได้พิจารณาเเก้ไข เมื่อมาทราบสิ่งที่ท่านเองไม่เคยเรียนมาจึงเกิดสงสัย เเละเพื่อให้เเน่ใจมากขึ้นท่านจึงถามที่กุฎิหลวงปู่ดู่โดยตรง เเต่มีข้อให้สะกิดใจว่า ทำไหมหลวงปู่สี จึงมีความเเน่ใจอย่างมากว่าหลวงปู่ดู่เป็นผู้ช่วยทำ คงจะบารมีที่ท่านอธิฐานให้นั้น มีหลวงปู่ดู่อยู่ในวัตถุมงคลด้วยเเน่นอน
หลวงปู่ดู่ได้เล่าต่ออีกว่า เมื่อบวชมาก็มีหลวงปู่สีกับฉันเท่านั้นที่ภาวนาองค์อื่นๆ ไม่ได้ทำเวลาภาวนาต้องเเอบไปทำในโบสถ์กลัวคนเห็น ถึงอย่างนั้นยังมีคนล้อฉันเลยว่ากำลังทำเสน่ห์อยู่หรือไง สมัยก่อนครูบาอาจารย์ก็หายากเย็นเมื่อเรานำผลของการปฎิบัติไปเล่าให้อุปัชฌาย์ฟังท่านก็พูดอย่างเดียวว่า บุญ นิมนต์ทำต่อไปเถิดไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ อาจารย์ศุภรัตน์เลยเรียนถามท่านว่าสงสัยหลวงปู่กลั่นคงมีอนาคตังสญานล่วงรู้ว่าหลวงปู่ดู่คงจะพบวิธีปฎิบัติต่อไปในภายภาคหน้าด้วยตัวเองกระมังครับ ท่านจึงไม่สอนอะไรมาก หลวงปู่ยิ้มไม่ตอบว่ากระไร
จนกระทั้งในวันหนึ่งอาจารย์ศุภรัตน์ไปนมัสการหลวงปู่ ท่านได้พูดว่า หลวงปู่สีท่านเป็นขั้นอาจารย์ข้าจะไปสอนพระสังฆราชได้อย่างไรก็ต้องให้หลวงปู่ทวดสอนท่าน เเต่เป็นการสอนทางในคนที่เขาเก่งเมื่อเขารู้ว่ามีการปฏิบัติที่สูงกว่านี้ท่านก็ศึกษาจากพระ ที่ท่านทำถ้าคนเราลองมีฑิฐิว่า ข้าเเน่ก็จะไม่เจอะของดี
ในสมัยที่หลวงปู่สียังมีชีวิตอยู่ ในเเต่ละปีก่อนเข้าพรรษาหลวงปู่ท่านจะไปทำวัตร คือการไปถวายเครื่องสักการะ จวบจนกระทั้งหลวงปู่มรณะภาพ ซึ่งการมรณะภาพของท่านก็เป็นไปอย่างอาจหาญโดยท่านบอกว่า เขาเอาเราเเน่ว่าเเล้วท่านก็นั่งสมาธิดับสังขารเเสดงถึงการปฏิบัติที่ท่านทำมาทำให้ท่านไม่หวาดกลัวกับอันตรายอย่างใดๆทั้งสิ้น
ผู้ปราถนาผลที่หมายด้วยวิธีอันผิด จะต้องเดือดร้อน
พุทธพจน์
เมื่อจิตของเราสงบภายในเเล้ว อุปมาเหมือนน้ำสงบ น้ำสงบเเล้วก็ใส ใสเเล้วก็มองเห็นเหตุ มองเห็นผล มองเห็นบุญกุศล มองเห็นสุข มองเห็นทุกข์ มองเห็นดี มองเห็นชั่ว
ศาสนาอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอยู่ที่กายที่ใจของเรา เมื่อเราปฏิบัติอยู่ ศาสนามันก็เจริญอยู่
คำสอนของ...หลวงปู่ฝั้น อาจาโร



เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2524 หลวงปู่อยู่ในงานประจำปี วัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพ

มีแม่ชีพราหมณืหลายคนจากวิทยาลัยครูพากันไปถามทำนองรายงานผลการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า

เขานั่งวิปัสสนาจิตสงบแล้ว เห็นองค์พระพุทธรูป อยู่ในหัวใจเขา บางคนว่า ได้เห็นสวรรค์เห็นวิมานของตัวเองบัาง บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์บ้าง พร้อมทั้งภูมิใจว่าเขาวาสนาดี ทำวิปัสสนาได้สำเร็จ

หลวงปู่อธิบายว่า "สิ่งที่ปรากฎเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้นจะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้"

แม้จะมีคนเป็นกลุ่ม อยากฟังความคิดเห็นของหลวงปู่เรื่องเวียนว่ายตายเกิดยกบุคคลมาอ้างว่าท่านผู้นั้น ผู้นี้ สามารถระลึกชาติย้อนหลังได้หลายชาติว่า ตนเกิดเป็นอะไรบ้าง และใครเคยเป็นแม่เป็นญาติกันบ้าง หลวงปู่ว่า

"‪#‎เราไม่เคยสนใจเรื่องอย่างนี้‬ แค่อุปจารสมาธิก็เป็นได้แล้วทุกอย่างมันออกไปจากจิตทั้งหมด

อยากรู้อยากเห็นอะไร จิตมันบันดาลให้รู้ให้เห็นได้ทั้งนั้น และรู้ได้เร็วเสียด้วย หากพอใจเพียงแค่นี้ ผลที่ได้ก็คือ ทำให้กลัวการเวียนว่ายตายเกิดในภพที่ตกต่ำ แล้วก็ตั้งใจทำดี บริจาคทาน รักษาศีล แล้วก็ไม่เบียดเบียนกัน พากันกระหยิ่มยิ้มย่องในผลบุญของตน

‪#‎ส่วนการที่จะขจัดกิเลสเพื่อทำลายอวิชชา‬ ตัณหา อุปาทาน เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงนั้น ‪#‎อีกอย่างหนึ่งต่างหาก‬"

‪#‎ที่มา‬ อตุโล ไม่มีใดเทียม
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)



“ความกลัว”
เกิดจากความหลวง
เพราะหลงยึดในสังขาร
จึงกลัวโน่น กลัวนี่ กลัวผี
กลัวมันจะมาทำร้าย
ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงว่า
จิตเป็นของไม่ตาย
สังขารเป็นของไม่เที่ยง
มันจะละความหลง
และจะไม่กลัว

โอวาทธรรม..หลวงปู่คูณ สุเมโธ...




คิดไม่ถึง

สำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาของหลวงปู่นั่นเอง อยู่ด้วยกันเฉพาะพระประมาณห้าหกรูป อยากจะ
เคร่งครัดเป็นพิเศษ ถึงขั้นสมาทานไม่พูดจากัน
ตลอดพรรษา คือ ไม่ให้มีเสียงเป็นคำพูดออกมา
จากปากใคร ยกเว้นการสวดมนต์ทำวัตร หรือสวดปาติโมกข์เท่านั้น ครั้นออกพรรษาแล้ว พากันไปกราบหลวงปู่ เล่าถึงการปฏิบัติอย่างเคร่ง
ของพวกตนว่า นอกจากปฏิบัติข้อวัตรอย่างอื่น
แล้วสามารถหยุดพูดได้ตลอดพรรษาด้วย ฯ

หลวงปู่ฟังแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง พูดว่า

"ดีเหมือนกัน เมื่อไม่พูดก็ไม่มีโทษทางวาจา แต่ที่ว่าหยุดพูดได้นั้นเป็นไปไม่ได้หรอก นอกจากพระอริยบุคคลผู้เข้านิโรธสมาบัติชั้น
ละเอียดดับสัญญาเวทนาเท่านั้นแหละที่ไม่พูดได้ นอกนั้นพูดทั้งวันทั้งคืน ยิ่งพวกที่ตั้งปฏิญาณว่า
จะไม่พูดนั่นแหละยิ่งพูดมากกว่าคนอื่น เพียงแต่ไม่ออกเสียงให้คนอื่นได้ยินเท่านั้น."

• หลวงปู่ดูลย์ อตุโล •

‪#‎ที่มา‬ : อตุโล ไม่มีใดเทียม
ตอบกระทู้