เมื่อครั้งหลวงปู่มรณภาพ มีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยที่บวชปฏิบัติเพื่อถวายกุศลแด่หลวงปู่ ลูกศิษย์ท้งพระและฆราวาสต่างปฏิบัติกันไปตามกำลังฐานะของตัว
ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่ตามพระกรรมฐานไปปฏิบัติในป่าแห่งหนึ่ง ในเช้าตรู่วันหนึ่ง ขณะปฏิบัติอยู่ต่อหน้าพระอาจารย์และหมู่คณะ จิตของเขาเริ่มมีอะไรแปลก ๆ ไป คือ จิตเริ่มรวมรู้เข้าไปภายใน เห็นจิตเป็นเหมือนดวง ๆ ทันใดก็เห็นอารมณ์เป็นกลุ่มควันหรืออะไรสักอย่างที่วิ่งเข้ามาจากด้านข้าง เข้ามาครอบงำดวงจิต และขณะที่ดูและรู้อยู่นั้น ตัวกลั่มควันที่ว่าก็หลุดสลายไป ประเดี๋ยวเดียวก็มีอารมณ์อันใหม่เข้ามาครอบงำอีก แล้วก็หลุดสลายไปอีก ไม่ว่าอารมณ์ที่ชอบใจ และอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ มันครอบงำแล้วก็หลุดสลายไปอยู่อย่างนี้
ในจิตเหมือนกับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที แต่มันก็ปรากฏเป็นสิ่งที่เชื่องช้าให้จิตได้เห็นอย่างถนัด ...คำว่าจิตรู้เท่าทันอารมณ์มันเป็นเช่นนี้เองหนอ ความคิดแม้จะรวดเร็ว แต่จิตที่ฝึกมาดีแล้ว รวดเร็วทันกันได้อย่างนี้เอง อาศัยจิตที่ทรงตัวดีแล้ว มาดู มารู้ มาเห็น เห็นแล้วมันก็ดับไปต่อหน้าต่อตา
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหลวงปู่ดังขึ้นในจิตของเขาว่า
"...เมื่อใดที่แกเห็นความดีในตัวเองแล้ว เมื่อนั้น ข้าจึงนับว่าแกรู้จักข้าดีขึ้น" มันอาจเป็นสัญญาความจำที่หลวงปู่เคยพูดกับเขา หรือจะอย่างไรไม่ทราบได้ แต่ในใจเขามันเต็มตื้น และจะร้องไห้โฮออกมา
เขาพยายามหายใจยาว ๆ ลึก ๆ เพื่อระงับอาการที่อยากจะร้องไห้โฮ เพราะอายเพื่อนที่ร่วมปฏิบัติ แต่เสียงลมหายใจของเขามันก็สั่นเครือ ไม่ราบเรียบ เพราะความพยายามที่จะบังคับตัวเองไม่ให้ร้องไห้
ในที่สุด เขาก็ไม่อาจห้ามอาการภายในที่มันจะปะทุออกมาได้ เขาต้องดึงผ้ารองนั่ง ออกมาปิดหน้าตัวเอง แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังอยู่พักหนึ่ง
มันไม่ได้เป็นน้ำตาของความเศร้าโศกเสียใจ
แต่มันเป็นน้ำตาจากปีติที่เขาเพิ่งเข้าใจคำพูดของหลวงปู่ที่กล่าวกับเขาไว้เมื่อกว่า ๑๐ ปีมาแล้ว เขาเพิ่งตระหนักถึงความเป็นผู้มีจิตหยาบ
เป็นจริงดังที่หลวงปู่เกล่าไว้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีหยาบ กลาง ละเอียด ที่เราคิดว่าเราเข้าใจ ควรตระหนักว่ามันยังเป็นของหยาบอยู่ ยิ่งปฏิบัติยิ่งสำนึกว่าเราเป็นเหมือนผู้ไม่รู้อะไรเลย