พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ศุกร์ 02 ก.ย. 2016 7:47 am
ครูบาอุปฐาก ; ขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์ครับผม มีโยมฝากคำถามมากราบเรียนถามครับผม
“ติดตามอ่านธรรมหลวงปู่มาสักพักแล้ว พอมาถึงเรื่องพระธาตุ เลยนึกรวมถึงของขลังด้วย
โดยส่วนตัวในช่วงแรกก็เห่อพระธาตุ รับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเครื่อง เหรียญ ของขลังฯ จากพระมาเหมือนกัน
แต่พอสักพักเริ่มเยอะ และรู้สึกว่าเป็นภาระ เพราะเกรงจะบูชาได้ไม่ดี เนื่องจากโดยปกติไม่ได้สวดมนต์ และไม่มีที่เก็บ แต่ถือศีลและทำบุญอยู่เป็นประจำ
ตอนหลังเลยพยายามไม่รับสิ่งเหล่านี้
กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า ถ้าเรารักษาศีลอยู่แล้ว ใฝ่ธรรมะ (ตอนหลังเริ่มนั่งสมาธิด้วย แต่ก่อนนั่งบ้าง ไม่นั่งบ้าง)
เรื่องพระธาตุ พระเครื่อง รวมตลอดถึงเรื่องเครื่องรางของขลัง เราก็ไม่จำเป็นต้องรับมา หรือรู้สึกผิดเวลาที่ไม่เข้าไปรับกับเขา ใช่หรือไม่คะ หลวงปู่ เพราะบางทีคนอื่นเขาเข้าไปรับกันหมด แต่เราไม่เข้าไปก็ดูแปลกๆจากชาวบ้านค่ะ
บางครั้งก็สับสนเพราะอยากได้ไว้เป็นสิริมงคลกับตัวเหมือนกัน แต่พอรับมาก็ไม่ได้บูชาดังกล่าวข้างต้น เลยไม่รู็จะทำอย่างไรค่ะขอหลวงปู่เมตตาอบรมด้วยค่ะ”
หลวงปู่ ; วัตถุมงคลเป็นกุศโลบายให้คนละชั่วทำดี กุศล แปลว่าความฉลาด อุบายแปลว่าหลอก กุศโลบายแปลว่าหลอกให้ฉลาด เหมือนคนใส่พระไม่กล้าเดินเข้าที่ต่ำ ไม่กล้ายกของไม่ดีข้าม คนใส่แหวนพระไม่จับไม่ถือของไม่ดี นั้นไง ท่านหลอกให้ทำดี ไม่ให้ทำเลว
ใส่แหวนพระ มันจะเตือนตัวไม่ให้นิ้วทำชั่ว อยู่เสมอ นั้นอุบาย นั้นท่านกำลังหลอก คนที่โดนหลอกคือผู้ที่ไม่มีความรู้ถึงโดนเขาหลอก ถ้าเรารู้ใครจะหลอกเราได้ ถ้าเราทำดี ทำฉลาดอยู่แล้ว มีความรู้แล้ว ก็อย่าให้ท่านหลอก ทำเองดีเองไม่ต้องอาศัยอุบาย เป็นคนดีแล้วไม่จำเป็นต้องหลอกให้ทำดี ถ้าท่านให้เกรงใจ อยากได้ เชื่อถือ เคารพ บูชา เอาไปเตือนตนเองทำดี ก็เอามา ถ้าเอามาแล้วเป็นภาระ เป็นทุกข์ เป็นห่วงเป็นใย เอามากอดมาถือ เอามาโง่ จะเอามาทำไม มันไม่ใช่วัตถุมงคล มันเป็นวัตถุอัปมงคล เข้าใจนะ
หลวงปู่หา สุภโร
กาลามสูตร
เช้านี้มีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อนำนักเรียนมาชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์สิรินธร
แล้วจึงพานักเรียนขึ้นมาวัดเพื่อมากราบหลวงพ่อบันดาล(พระพุทธบันดาลฤทธิผล) พระพุทธรูปโบราณคู่วัดสักกะวัน
และเมื่อเห็นหลวงปู่นั่งอยู่จึงเข้ามาแวะกราบ สนทนากันได้ระยะหนึ่งจึงเอ่ยถามหลวงปู่ว่า
อาจารย์ ; หลวงปู่ครับ พระพุทธเจ้าทรงตรัสในกาลามสูตร ในสิ่งไม่ควรเชื่อ ๑๐ อย่าง
ท่านให้พิสูจน์ทดลองก่อน จึงเชื่อ ผมไม่เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นเราอยากรู้ว่า ตายแล้วไปไหน ไม่ต้องพิสูจน์ ด้วยการตายก่อนหรือครับถึงจะทราบ
หลวงปู่ ; คุณมาจากไหน
อาจารย์ ; ร้อยเอ็ด ครับผม
หลวงปู่ ; ถ้าคนกาฬสินธุ์ เขามีพิธีกรรมบางอย่าง ที่คนร้อยเอ็ดไม่มี ไม่ทำ คุณว่าคนกาฬสินธุ์ของงมงาย เขาทำถูกหรือทำผิด
อาจารย์ ; ไม่งมงายไม่ผิดครับผมหลวงปู่ เพราะคนกาฬสินธุ์ก็คือคนกาฬสินธุ์ จะเอาคนความคิดคนร้อยเอ็ดมาตัดสินคนกาฬสินธุ์ไม่ได้ครับผม
หลวงปู่ ; เออ ตอบคำถามสมกับเป็นครูคน ก็ในเมื่อเอาคนร้อยเอ็ดมาตัดสินความเป็นคนกาฬสินธุ์ไม่ได้ ก็เอาคนกาลามะมาตัดสินคนไทยไม่ได้เหมือนกัน
คนที่ศึกษาแต่ข้อความทั้ง๑๐ แล้วไม่ได้ดูที่ไปที่มาของเรื่องเลย จะสรุปว่าข้อความทั้ง๑๐ คือทั้งหมดไม่ได้ คนกาลามะเป็นคนหัวอ่อนเชื่อง่ายใครสอนอะไร บอกอะไรเชื่อหมด ไม่ไตร่ตรองเสียก่อน พระองค์ท่านจึงให้ข้อตัดสินความเชื่อไว้อย่างนั้น
ก็ในเมื่อเราไม่ได้มีจริตนิสัยเป็นอย่างนั้นเราจะเอามาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้ ศาสนธรรมคำสอนพระองค์เจ้า มี๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คุณอย่าเอามาใช้ทั้งหมด
สมัยก่อนพระองค์เทศน์สอนใคร เทศน์เรื่องเดียว อย่างเดียวคนนั้นก็บรรลุธรรม คนทุกวันนี้ชอบแบกคัมภีร์แบกธรรม แบกจนหนักโดยไม่รู้ตัว มัววุ่นอยู่แต่กับหนังสือกับข้อความ รับมาก ฟังมาก แบกมาก หนักมาก เลยเอาหนังสือ เอาคัมภีร์มาข้องมาคา มาติดมาขัด ไปไหนก็ไม่ได้ มันติดคัมภีร์ มันติดความรู้
ความรู้ที่รู้เพื่อหนักสมอง รกสมอง ใช้ประโยชน์ไม่ได้
สังเกตไหมว่า คนในสมัยพระพุทธเจ้า เขาปฏิบัติอย่างเดียว เอาธรรมตัวเดียว สิงคาลมาณพ เอาทิศ ๖
หลวงพ่อโมคคัลลา เอาความง่วง
หลวงพ่อพาหิยะ ฟังธรรมสั้นๆ
หลวงพ่อ นาลกะ เอาโมเนยยะ
ท่านเหล่านี้ไม่ต้องแบกคัมภีร์ ไม่ต้องแบกความรู้ที่รกสมอง
พระองค์เจ้าเป็นสัพพัญญูเป็นผู้รู้แจ้งนะ สัพพัญญูไม่ได้แปลว่ารู้ทุกเรื่อง เรื่องไม่เป็นประโยชน์ ท่านก็ไม่รู้ บางเรื่องรู้แล้วมันทุกข์ อย่ารู้เสียดีกว่า
ทุกวันนี้มันมีแต่ประเภท " รู้ไปหมด แต่มันอดไม่ได้ รู้ไปทั่ว แต่เอาตัวไม่รอด"
เลือกเอาธรรมที่เป็นตัวเรา เข้าจริต นิสัยเรามาปฏิบัติ ไม่ใช่มีแต่แบกแต่ขน
ขนไปหมดจนไม่รู้จะใช้ได้หรือไม่ อย่าเอาคนอื่นมาเป็นมาวัดกับเรานะ เรากับเขามันคนละคน การปฏิบัติตามธรรมเป็นเรื่องส่วนตัว ของใครของมัน
อย่าเอามาอวดมาอ้างกัน อย่าเอาเขามาทำให้เราทุกข์ เหมือนคุณที่ทุกข์กับคนกาลามะ
ส่วนการพิสูจน์ชีวิตหลังความตายนั้น โลกคนตาย
เป็นโลกทิพย์ อยากเห็นโลกทิพย์ต้องมีตาทิพย์ อยากได้ยินเสียงทิพย์ต้องมีหูทิพย์ อยากไปโลกทิพย์ต้องมีกายทิพย์ การมีกายทิพย์ เกิดจากการปฏิบัติพากเพียรภาวนาและการตาย มันมีวิธีอื่นนอกจากการตาย แล้วแต่คุณจะเลือกหรอก
หลวงปู่หา สุภโร
กินเจเว้นกรรม
เหตุเกิดเมื่อปีที่แล้ว ณ วัดสักกะวันเมื่อมีโยมคณะหนึ่งไปกราบหลวงปู่
โยม :หลวงปู่เจ้าขา โยมกับเพื่อนอธิษฐานว่าปีนี้ตลอดพรรษาจะกินเจกันและกินมาได้หนึ่งเดือนแล้วเจ้าค่ะ
หลวงปู่: อือ ดีแล้ว กินเจได้ คนฆ่าสัตว์ก็ลดลง
โยม: นั้นสิเจ้าค่ะหลวงปู่ คนกินเจ งดฆ่าสัตว์ ได้บุญ
ไม่รู้ทำไมนะ คนชอบกินสัตว์ กินแล้วก็ฆ่าเขา ถึงตัวเองไม่ได้ฆ่าไปซื้อเขาก็เท่ากับสนับสนุนคนอื่นเขาฆ่าตัวเองก็บาปด้วย โยมคิดว่าคนกินเนื้อสัตว์ต้องตกนรกแน่นอน นี่ไงโยมถึงว่าคนกินเนื้อเหมือนเปรตเหมือนผี
หลวงปู่: คุณ!! คุณงดการฆ่าได้เป็นเรื่องน่าอนุโมทนา คุณไม่กินเนื้อได้ก็น่าอนุโมทนาเพราะคุณลดการเบียดเบียนทางปาก
แต่การที่ส่งใจไปคิดไม่ดีกับคนอื่น การนินทาว่าร้าย การเห็นว่าเขาเลว นั้นก็การเบียดเบียนคนอื่นเขาด้วย
คุณกินเจด้วยใจเป็นบุญเป็นกุศลนั้นยอดความดี
แต่เมื่อกินแล้วกลับไปกล่าวร้ายว่าร้ายคนอื่นคุณก็ยังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ดีนั้นหล่ะ
ปากหน่ะเป็นบ่อเกิดบุญก็ได้ เป็นบ่อเกิดบาปก็ได้ เราทำดีนั่นเป็นส่วนดีของเรา แต่อย่าเที่ยวไปว่าคนอื่นเขา
ศีลมีไว้พัฒนาตนเองไม่ใช่มีไว้จับผิดคนอื่น คนที่กินผักกินเจแล้วเที่ยวไปว่าคนอื่นก็หนีไม่พ้นการเบียดเบียนอยู่ดี
จงทำตนให้ดีแต่อย่าไปเที่ยวว่าใครเห็นว่าตนดีกว่าเขา คุณก็ทุกข์เท่าความดีที่คุณมีนั้นหล่ะ
ทำความดีหน่ะมันดี แต่หลงในความดีหรือหลงในสิ่งที่ตนคิดว่าดี ความดีนั่นกำลังทำร้ายเรานะ ทำดีแทนที่จะมีสุขกลับทุกข์เพราะความดีที่ตนทำ
จำไว้ความดีความบริสุทธิ์เป็นเรื่องส่วนบุคคลอย่าเอาตนเป็นบรรทัดฐาน กินเจกินผัก ต้องเว้นการเบียนเบียนทางกายทางวาจาทางใจด้วย ถ้ากินเจแล้วเที่ยวไปจับผิดคนอื่น อย่ากินเลยจะดีกว่า เข้าใจนะ
หลวงปู่หา สุภโร
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.