วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง หลวงพ่อโต วัดบางพลีครับ ด้วยความภูมิใจจริงๆครับเพราะผมเกิด เรียนและบ้านอยู่ห่างจากวัดไม่ถึง 300 เมตรครับ แถมตอนเด็กคุณแม่ก็พาไปถวายเป็นลูกของท่านอีกต่างหาก
ประวัติหลวงพ่อโต ตามตำนานประวัติของ หลวงพ่อโต ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ประมาณกาล ๒๐๐ กว่าปีล่วงมาแล้ว ได้มีพระพุทธรูป ๓ องค์ ปาฏิหาริย์ลง มาจากทางเหนือลอยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดมา พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์นี้ เข้าใจว่าปวงชนในกรุงศรีอยุธยาคงอาราธนาท่าน ลงสู่แม่น้ำเพื่อหลบหลีกหนีข้าศึก ด้วยในสมัยนั้นบ้างเมืองได้เกิดสภาวะสงครามขึ้นกับพม่า พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ได้แสดงอภินิหาร ลอยล่องมาตามลำแม่น้ำและบางครั้งก็แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้คนเห็นตามลำดับ จนเป็นที่โจษจันกันทั่วถึงอภินิหารและความศักดิศิทธิ์ของท่านจนล่วงมาถึงตำบลๆ หนึ่ง ท่านก็ได้ผุดให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ พวกเหล่าประชาชนในตำบลนั้น ต่างก็พร้อมในกันทำพิธีอาราธนาท่านขึ้นสู่ฝั่ง ฝูงชนประมาณ ๓ แสนคน ช่วยกันฉุดลากฉะลอองค์พระท่าน ก็ไม่สามารถนำท่านขึ้นสู่ฝั่งได้ และท่านก็กลับจมลงหายไปในแม่น้ำอีก ยังความเศร้าโศกเสียดายของประชาชนในตำบลนั้นเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาตำบลนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่า
"ตำบลสามแสน" มาจนกระทั่งบัดนี้
พระพุทธรูปได้ล่องลอยทวนน้ำมาทั้ง ๓ องค์ โดยลำดับ ครั้งหนึ่งปรากฏว่าได้ล่องลอยไปจนถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา แสดงอภินิหารปรา กฏให้ผู้คนเห็นอีก ประชาชนต่างก็ได้ช่วยกันฉุดชะลอท่านขึ้นจากลำน้ำ แต่ก็ไม่สำเร็จอีก!!!
พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ได้ลอยทวนน้ำ และจมหายไป ณ ที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่า
"สามพระทวน" แต่ต่อมาก็ได้เปลี่ยนไปเป็น "สัมปทวน" คือแม่น้ำหน้าวัดสัมปทวน อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ ท่านล่องลอยผ่าน ณ ที่ใด ที่นั่นก็จะมีชื่อ เรียกกันใหม่ทุกครั้ง ดังเช่น ท่านได้แสดงอภินิหารล่องลอยให้ผู้คนเห็นเป็นอัศจรรย์เรื่อยมาในแม่น้ำบางประกง ผู้คน มากมายพยา ยามที่จะอาราธนาท่านขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ณ สถานที่นั้นจึงได้มีชื่อเรียกกันว่า "บางพระ" ซึ่งเรียกว่าคลอง บางพระ ในปัจจุบัน ครั้น ต่อมาภายหลังปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่ วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม และต่อมา ในเวลาไล่เลี่ยกัน พระพุทธรูปองค์หนึ่งได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ปาฏิหาริย์ลอยวกเข้ามาในคลองสำโรง ประชาชน พบเห็นต่างโจษจัน กันไปทั่วถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหาร พร้อมกับพากันอาราธนาท่านขึ้นที่ปากคลองสำโรงนั้น แต่ท่าน ก็ไม่ยอม ขึ้นและในที่นั้นได้มี ผู้ปัญญาดีคนหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่าคงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน แม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอารา ธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่ง คงไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยมาตามลำน้ำ สำโรง และอธิษฐานว่า "หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพ ที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด" เมื่อประชา ชนทั้งหลายได้เห็นพ้องดีกันดังนั้นแล้ว ก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือซึ่งสมัยนั้นเป็นเรือพายทั้งสิ้น ช่วยกันจ้ำ พายจูงแพลอยเรื่อยมาตามลำคลอง เรือที่ใช้ลากจูงแพมานั้นมีชื่อแปลกต่างๆ กัน เช่นชื่อ ม้าน้ำ เป็ดน้ำ ตุ๊กแก และอื่นๆ เป็นต้น และจัดให้มีการละเล่นต่างๆ มี ละครเจ้ากรับรำถวายมาตลอดทาง และการละเล่นอื่นๆ ครึกครื้นมาตลอดทั้งลำน้ำ....
ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง พยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาได้ขยับเขยื้อนไม่ ประชาชนที่มากับเรือและชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างน้อมก้มลงกราบนมัสการด้วยความเคารพ และ เปี่ยมด้วยสักการะจึงได้พร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ก็ขออาราธนาองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด"และเป็นที่อัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพียงใช้คนไม่มากนักก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ ซ้องในอภินิหารของท่านเป็นอย่างยิ่งและได้อาราธนาท่านขึ้นไปประดิษฐานในพระวิหารซึ่งต้องชะลอท่านขึ้นข้ามฝาผนังวิหาร เพราะขณะนั้นหลังคาพระวิหารยังไม่มีและประตูวิหารก็เล็กมาก ต่อจากนั้นท่านจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่วิหารนั้นเรื่อยมา ครั้นต่อ มาได้รื้อวิหารนั้นอีกเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลออาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้าง พระอุโบสถสำเร็จแล้วจึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถเพื่อเป็นพระประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน การที่ท่าน ได้พระนามว่า
"หลวงพ่อโต" นั้นคงเป็นเพราะองค์ของท่านใหญ่โตสมกับที่ประชาชนพากันถวายนามว่า
"หลวงพ่อโต" เป็นสิ่ง ที่เคารพสักการะของชาวบางพลี และเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ในมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
การที่ลำดับว่าองค์ไหนเป็นองค์พี่ องค์กลาง องค์น้องนั้น และลอยมาพร้อมกันตามตำนานที่สืบทอดต่อกันมา เข้าใจว่าคงจะนับ เอาองค์ที่อาราธนาขึ้นจากได้ก่อนเป็นองค์พี่ ขึ้นจากน้ำองค์ที่สอง เป็นองค์กลาง ขึ้นจากน้ำองค์ที่สาม เป็นองค์น้องตามลำดับ ดังนี้
หลวงพ่อวัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม อาราธนาขึ้นจากน้ำองค์ที่ ๑
หลวงพ่อโสธร วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา อาราธนาขึ้นจากน้ำองค์ที่ ๒ เป็นองค์กลาง
หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ อาราธนาขึ้นจากน้ำเป็นองค์ที่ ๓ เป็นองค์น้อง เรียงกันมาตามลำดับ
อภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตเสียงสวดมนต์ในคืน ๑๕ ค่ำอันอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโตนั้น มีมากมายสุดจะนับได้ หลังจากที่ท่านได้ถูกอาราธนาประดิษฐานขึ้นจากน้ำที่วัดบางพลีใหญ่ในแล้ว ท่านก็ยังได้แสดงอภินิหารให้ประชาชนเห็นกันอยู่บ่อยๆ ดังเช่นครั้งท่านประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญของชาวบางพลี ท่านก็ยังได้แสดงอภินิหารให้ประชาชนเห็นกันอยู่บ่อยๆ ดังเช่นครั้งที่ท่านประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่า บางวันที่เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางคืนจะได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูจึงไม่เห็นใครอยู่ในนั้นเลยนอกจากองค์หลวงพ่อโตนั่งพระพักตร์ยิ้มแฉ่ง จนผู้คนที่พบเห็นเข้าไปดูเกิดขนลุกซู่ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส
พระภิกษุชรานิรนามบางคราวพระภิกษุและสามเณรในวัดจะเห็นพระภิกษุชราห่มจีวรสีคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมาจากวิหารและยืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร ผู้ที่พบเห็นต่างเรียกกันมาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์หลวงพ่อโต เป็น ดังนี้แล้วหลายครั้งหลายครา
ชายชราสง่างามบางครั้งจะมีผู้คนเห็นเป็นชาวชรารูปร่างสง่างามมีรัศมีเปล่งปลั่งนุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่าน ซึ่งยังความปลาบปลื้มปีติแก่ผู้ที่ได้พบเห็น
เล่ากันว่า เมื่อคราวสร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ ๆ ได้วัดช่องประตูพระอุโบสถกับองค์หลวงพ่อโต ปรากฏว่า ช่องประตูใหญ่กว่าองค์พระประมาณ ๕ นิ้ว ซึ่งสามารถนำองค์หลวงพ่อโตผ่านเข้าไปได้ แต่พอถึงคราวอาราธนาจริง ๆ กลับปรากฏว่าองค์หลวงพ่อใหญ่กว่าประตูมาก คณะกรรมการจำนวนหนึ่งเห็นว่าควรทุบช่องประตูทิ้ง แต่อีกจำนวนหนึ่งเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต จึงได้พร้อมใจกันอธิษฐานขอให้หลวงพ่อโตสามารถผ่านเข้าประตูได้เพื่อเป็นมิ่งขวัญคุ้มครองชาวบางพลีสืบไป เมื่ออธิษฐานเสร็จก็อาราธนาหลวงพ่อโตผ่านประตูได้โดยสะดวก
น้ำมนต์หลวงพ่อเลื่องลือในด้านการรักษาผู้เจ็บป่วยให้ทุเลาลงจนหายเป็นปกติได้ เหรียญหลวงพ่อโตที่ชาวบ้านนำมาคล้องคอบุตรหลานก็เป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เล่ากันว่าเมื่อเด็ก ๆ พลัดตกน้ำกลับลอยได้ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
อภินิหารที่มีชื่อเสียงมากของท่านคือองค์หลวงพ่อโตได้แสดงปาฏิหาริย์เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ปรากฏเหตุว่า องค์พระซึ่งเป็นทองสำริดกลับนิ่มดั่งเช่นเนื้อคน หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับพากันลงข่าวที่น่าอัศจรรย์ใจนี้และมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศพากันมาชมบารมี ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้อีกครั้ง ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกมหัศจรรย์ ซึ่งทั้ง 2 ครั้งคุณแม่ของผมก็ได้ไปจับและสัมผัสมาด้วยตนเอง และได้ประสบเหตุการณ์แปลกๆ ด้วยตนเองมาเรื่องนึงครับ
กล่าวคือ องค์หลวงพ่อนั้นจะประดิษฐานอยู่ในที่สูงมาก จะเข้าปิดทองหรือห่มจีวรต้องขึ้นบันไดไป ณ เวลานั้นมีผู้ชายคนหนึ่งไม่เชื่อในอภินิหารของท่านเลยทำการ
"หยิก" เนื้อของหลวงพ่อที่นุ่มนิ่มเสมือนคนจริงๆ ทันใดนั้นชายคนนั้น ก็เหมือนถูกใครบางคน
"ผลัก" ตกลงมาจากแท่นบันไดชั้นบนสุด ได้รับบาดเจ็บขาหัก เดินไม่ได้ต้องให้คนแถวนั้นอุ้มออกไปนอกโบสถ์เลยครับ